จากอดีตนักลงทุนในตลาดหุ้นคุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ที่เคยทำกำไรวันละ 10 ล้านบาท แต่เพราะวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้เขามีหนี้กว่า 1,000 ล้านบาท ต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ เขาเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ ทิ้งความอายมาเป็นพ่อค้าขายแซนด์วิชข้างถนน จนสามารถสร้างตำนาน “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ได้สำเร็จ
- จากอัศวินม้าขาวในตลาดหลักทรัพย์ ที่ประสบความสำเร็จ จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วประเทศ เมื่อต้องพบกับความผิดพลาด จนต้องมาเดินขายแซนด์วิชข้างถนนต้องปรับตัวปรับใจ
- มองข้ามความอาย เริ่มต้นทำแซนด์วิชขายแบบไม่เช่าที่ “ใช้ตัวเองเป็นต้นทุนสร้างโอกาสด้วยการเดินไปหาลูกค้า” ซึ่งก็เรียนรู้ และทำไปพร้อมๆ กัน
- อนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิต และลมหายใจอยู่ และเรามีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ โดยที่ไม่ต้องไปฟังคำสบประหม่าจากใครทั้งนั้น
เดิมทีสมัยเรียนคุณศิริวัฒน์ได้ใช้ชีวิตสุขสบายมาตลอด อีกทั้งยังเรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา จบออกมาก็มีหน้าที่การงานที่ดี ประสบความสำเร็จในวงการตลาดหุ้นเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ทองคำของวงการเลยก็ว่าได้ แต่ในที่สุดเมื่อวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งในปี 2540 มาถึงก็เกิดผลกระทบต่อการทำธุรกิจเป็นอย่างมาก ในระยะเวลาแค่เพียง 1 ปี ทำให้คุณศิริวัฒน์เป็นบุคคลล้มละลาย มีหนี้เกือบพันล้าน ถือเป็นจุดที่ต่ำสุดในชีวิต
จากอัศวินม้าขาวในตลาดหลักทรัพย์ ที่ประสบความสำเร็จ จนเป็นที่ยอมรับของคนทั่วประเทศ เมื่อต้องพบกับความผิดพลาด จนต้องมาเดินขายแซนด์วิชข้างถนน คุณศิริวัฒน์ต้องปรับตัวปรับใจ มองข้ามความอาย เริ่มต้นทำแซนด์วิชขายแบบไม่เช่าที่ “ใช้ตัวเองเป็นต้นทุนสร้างโอกาสด้วยการเดินไปหาลูกค้า” ซึ่งก็เรียนรู้ และทำไปพร้อมๆ กัน
ธุรกิจแซนด์วิชศิริวัฒน์ เริ่มจากทุนที่แทบไม่มีเลย ยืมญาติก็ไม่ให้จนเกิดเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจ แต่เขาก็พบว่านี่ถือเป็นบทเรียนให้ตนว่า “ก่อนที่จะหวังให้ใครยื่นมือมาช่วยเราต้องช่วยเหลือตัวเองก่อน” รวมถึงเหตุการณ์ที่โดนเทศกิจชี้หน้าด่าทอด้วยถ้อยคำที่หยาบคายเพียงเพราะไปยืนขายแซนด์วิช ทำให้ผิดหวังมาก แต่ก็ยังคงสู้ต่อ และเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราทั้งหมด
กว่าจะกลับมายืนได้อีกครั้งในฐานะพ่อค้าขายแซนด์วิช เรื่องราวจากจุดที่อยู่บนสุด ลงมาต่ำสุดจนถึงในตอนนี้ เราได้ถอดบทเรียนจากความผิดพลาดของเขามาให้พวกเราชาว SMEs ได้เรียนรู้กัน ข้อแรกเพราะชื่อเสียง เงินทอง คือความสำเร็จที่ทุกคนใฝ่ฝัน คนเรามักจะหลงลืมตัวเองในวันที่ชีวิตขึ้นจุดสูงสุด เพราะฉะนั้นอย่าเพลิน อย่าหลงตัวเอง อย่าประมาท และอย่าโลภ ข้อที่สองคือการจะทำธุรกิจอะไร ควรเริ่มจากเล็กๆ “ทำธุรกิจด้วยความระมัดระวังจงเริ่มจากเล็กไปใหญ่” และข้อสุดท้ายคือการนึกถึงคำสอนของรัชกาลที่ 9 ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียง การพอประมาณ มีเหตุมีผล สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง และเดินทางสายกลาง
สุดท้ายนี้ก็ขอสรุปสิ่งที่คุณศิริวัฒน์ได้กล่าวเพื่อให้กำลังใจชาว SMEs ไว้ว่า คนเราทุกคนเลือกที่เกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ ทั้งหมดมันอยู่ที่ตัวเรา อดีตนั้นแก้ไขไม่ได้ แต่อนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตราบใดที่ยังมีชีวิต และลมหายใจอยู่ และเรามีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ โดยที่ไม่ต้องไปฟังคำสบประหม่าจากใครทั้งนั้น เพียงแค่เดินหน้าไป เมื่อไรก็ตามที่เราช่วยตัวเราเอง วันนั้นจะมีคนมาอุ้มตัวเรา ถ้าทำได้ก็จะได้เป็นอายุน้อยร้อยล้านคนต่อไปอย่างแน่นอน