15 วิธีคิดแบบคนที่มั่นใจในศักยภาพของตัวเองใช้บอกตัวเอง

1318

ไม่มีใครกำหนดหรือเขียนเรื่องราวชีวิตของเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง การพูดกับตัวเอง โดยเฉพาะในแง่บวก เป็นอีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยเปลี่ยนระบบความคิดและช่วยให้เราหลุดออกจากความเชื่อเดิม ๆ ที่ทำร้ายตัวเอง ให้กลายเป็นคุณคนใหม่มีมั่นใจมากขึ้น ซึ่ง 15 วิธีคิดต่อไปนี้ คือ วิธีคิดแบบที่คนมั่นใจในศักยภาพตัวเองใช้บอกตัวเอง ถ้าคุณอยากมั่นใจแบบคนเหล่านี้ ก็สามารถนำไปใช้ได้


1. ฉันคือคนที่กำหนดคุณค่าของตัวเอง ไม่ใช่ใครอื่น”

ทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง ไม่เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา จำนวนเงินที่มี ความเชื่อ รสนิยมทางเพศ หรือสีผิวของคุณ แต่มันเกี่ยวกับวิธีที่คุณคิดต่อตัวเอง ว่าคุณมองตัวเองเป็นคนแบบไหน มีศักยภาพด้านไหน เหมาะกับอะไร สิ่งนี้มีพลังมาก เพราะมันจะกำหนดคุณภาพชีวิตของคุณ โดยที่ไม่มีใครหรือปัจจัยภายนอกใดที่สามารถมีอิทธิพลต่อมันได้


หากคุณไม่เชื่อว่าตัวเองมีค่าหรือไม่เชื่อในคุณค่าของตัวเอง คุณจะยอมรับผู้คน โอกาส หรือการปฏิบัติต่อชีวิตต่ำกว่าที่ควร คุณจะกลายเป็นคนไม่มั่นใจ ไม่มีความกล้าที่จะขออะไรเพิ่มเติม หรือปฏิเสธการปฏิบัติที่ต่ำกว่ามาตรฐานของคุณ เพราะลึก ๆ แล้วคุณไม่เชื่อว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้

2. “ฉันเป็นคนควบคุมการตัดสินใจของฉันเอง ไม่ว่าจะจากการกระทำหรือผลลัพธ์”

นี่คือสิ่งที่คนเรามักจะยอมรับก็ต่อเมื่อเราชนะเท่านั้น
การให้เครดิตกับชัยชนะนั้นง่ายกว่าการรับผิดชอบต่อความล้มเหลว และแน่นอนว่าเราต้องเช้าใจว่าบางสิ่งก็อาจอยู่เหนือการควบคุมของเราเช่นกัน ในแต่ละวัน เราคือผู้ควบคุมการตัดสินใจของตัวเอง เราเลือกได้ว่าจะใส่อะไร จะนำเสนอตัวเองแบบไหน วิธีที่จะปฏิบัติต่อผู้คนรอบตัว หรือแม้กระทั่งอารมณ์ที่เราเป็นอยู่ ซึ่งการตัดสินใจแต่ละครั้งย่อมนำไปสู่การดำเนินการและส่งผลต่อผลลัพธ์


ถ้าเมื่อไรที่คุณเจอกับสถานการณ์เหนือการควบคุมให้คุณลองหยุดพัก ถอยออกมา และคิดไตร่ตรองว่าที่จริงแล้วมันเกิดจากอะไร แล้วคุณจะควบคุมมันกลับได้อย่างไรบ้าง หากคุณไม่รู้ว่าการตัดสินใจของคุณคือตัวควบคุมโชคชะตาของคุณ คุณจะไม่มีวันหยุดได้นานพอที่จะมองไปรอบ ๆ ยอมรับผลที่เกิดขึ้น และหาทางออกเจอ

 3.“เมื่อรู้สึกเหมือนจะแพ้หรือหาทางออกไม่เจอ ฉันก็แค่ลองถอยออกมา เพื่อให้มองภาพได้กว้างขึ้น”

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเปิดแผนที่บนโทรศัพท์ แล้วกำลังมองไปที่จุดหมาย และเมื่อคุณซูมเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ จุดหมายนั้นจะกลืนพื้นที่หน้าจอทั้งหมดจนคุณจะไม่เห็นสิ่งอื่นที่อยู่รอบ ๆ นั้น ชีวิตก็เช่นกัน เมื่อเจอปัญหาหรือความท้าทาย คนส่วนใหญ่มักซูมเข้าไปใกล้ ๆ จดจ่อกับมันมากจนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งอื่นรอบ ๆ มันเลย

เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ให้คุณลองเปลี่ยนใหม่ แทนที่จะจดจ่อกับมัน ให้คุณลองถอยออกมาแล้วมองทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ ดูภาพให้กว้างขึ้น ในการทำเช่นนี้ จะทำให้ปัญหาหรือความท้าทายที่คุณเจอค่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ และคุณจะสามารถกำหนดแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการแก้ปัญหามากกว่าตอนที่มันอยู่ใกล้คุณมากเกินไป จนมันดูเหมือนใหญ่กว่าความเป็นจริง

4. “อดีตก็คืออดีต มันไม่จำเป็นต้องเป็นอนาคตของฉันด้วย”

แน่นอนว่าทุก ๆ ประสบการณ์ ความคิด บทเรียน ความสัมพันธ์ ความสำเร็จ ความล้มเหลว และช่วงเวลาของชีวิตในอดีต ล้วนเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ แต่เพราะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน และการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของชีวิตเป็นของตัวเอง อดีตไม่ควรจะเป็นสิ่งที่มากำหนดอนาคตของคุณด้วย คุณมีสิทธิ์ที่จะกำหนดและเลือกเส้นทางเดินของตัวเองได้ใหม่เสมอ แม้จะต่างไปจากอดีตที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิงก็ตาม นี่คือชีวิตของคุณ และคุณเป็นคนขับเสมอ ไม่เคยเป็นผู้โดยสาร อย่าตกเป็นทาสของมัน

5. “ฉันรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่ฉันมีอยู่ และขอบคุณใครที่อยู่กับฉัน”

คนที่มักแสดงความรู้สึกขอบคุณสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัว ไม่ว่าจะเป็นทักษะ ความสามารถ หรือแม้แต่คนที่อยู่เคียงข้าง จะเป็นการเขียนขอบคุณ หรือพูดขอบคุณ แม้ไม่ได้เห็นผลในทันที แต่หากทำต่อเนื่องเป็นกิจวัตร มักจะทำให้คน ๆ นั้นมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น เหมือนกับที่ จิม โรห์น ผู้ยิ่งใหญ่ เคยกล่าวไว้ว่า “จงเรียนรู้ที่จะขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่คุณมี ในขณะที่คุณไขว่คว้าทุกสิ่งที่คุณต้องการ”

6. “ฉันพยายามปรับปรุงและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ”

การพัฒนาตัวเองมีหลายรูปแบบ อาจเป็นได้ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ จิตวิญญาณ หรือทั้งหมด แม้ว่าภาระหน้าที่ในชีวิตจะทำให้การปรับปรุงหรือพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องกลายเป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็ยังสามารถทำได้และมีความจำเป็น หากคุณอยากเป็นคนที่มีศักยภาพมากกว่าเดิม เติบโต เรียนรู้ และพัฒนาตัวเองให้มีความก้าวหน้า ไม่ว่าจะยุ่งขนาดไหน คุณจะจัดสรรเวลาสำหรับใช้ในการพัฒนาตนเองได้ จงทำให้เป็นกิจวัตร เป็นสิ่งที่ต้องทำทุกวัน เหมือนกับที่คุณต้องอาบน้ำและกินข้าวทุกวัน

7. “ความคิดเห็นของคนอื่น ไม่มีอิทธิพลอะไรกับฉัน”

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า คนที่เขียนเรื่องราว หรือกำหนดชีวิตของคุณก็คือตัวคุณเอง หากคุณยังถามคนอื่นเกี่ยวกับชีวิตของคุณมากเท่าไร หรือทำตามสิ่งที่คนอื่นคิดว่าดีที่สุด มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้น แต่มันยิ่งทำให้คุณสับสนและฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่านั้น


คนอื่นอาจไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณ พวกเขาอาจไม่ชอบการแต่งตัวของคุณ พวกเขาอาจไม่เข้าใจว่าคุณออกจากงานนั้นทำไม หรือเลิกกับแฟนทำไม นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องของคุณ ชีวิตเป็นของคุณ ยิ่งคุณเชื่อในตัวเองและการตัดสินใจของตัวเองมากเท่าไร ความคิดของคนอื่นก็จะไม่มีผลต่อคุณและไม่สามารถทำให้คุณไขว้เขวมากเท่านั้น

8. “สำหรับฉันการบรรลุเป้าหมายสำคัญยิ่งกว่าความสุขเสียอีก”

หลายคนอาจคิดว่า จริง ๆ แล้วเราทุกคนควรจะพยายามมีความสุขไม่ใช่หรอ? แน่นอนว่าใช่! แต่เพราะความสุขเป็นสิ่งที่เปราะบางและอยู่กับเราไม่นาน หากเป้าหมายสูงสุดของคุณคือความสุข คุณอาจตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งโดยที่ยังไม่มีอะไรผิดพลาดในชีวิต แต่เพียงแค่ข้างนอกฝนตก อากาศไม่ดี ก็สามารถทำให้คุณรู้สึกแย่ เซ็ง และไม่มีความสุขได้แล้ว นั่นเป็นเพราะคุณรู้สึกล้มเหลวในการบรรลุความสุขจนกว่าแดดจะออกอีกครั้ง คุณถึงจะมีแรงกลับคืนมา


ความสุขนั้นยิ่งใหญ่แน่นอน แต่มันไม่สามารถเป็นเป้าหมายสุดท้ายของชีวิตได้ ให้มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต สนุกกับมันเมื่อมันอยู่ที่นี่ แต่อย่าหงุดหงิดเมื่อไม่มี ในขณะเดียวกัน การพยายามบรรลุเป้าหมายต่างหากที่จะทำให้คุณค้นพบเป้าหมายสุดท้ายและความสุขที่แท้จริงของชีวิต และสิ่งนี้เป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นกว่ามาก เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนไปตามสายลมเหมือนกับความรู้สึกแห่งความสุข ไม่ว่าคุณจะรู้สึกยังไง จะสุขหรือทุกข์ แต่คุณก็จะยังคงเป็นคนที่มุ่งมั่นและพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายให้ได้เหมือนเดิม

9. “ความผิดพลาดไม่สามารถกำหนดหรือครอบงำชีวิตฉันได้”

ความผิดพลาด ไม่เพียงแต่เป็นส่วนสำคัญของชีวิต แต่ยังสามารถใช้เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุด การระบุข้อผิดพลาดจะทำให้เรารู้ว่าในครั้งต่อไปต้องทำอย่างไร ให้ดีขึ้นและไม่เกิดข้อผิดพลาดแบบเดิมอีก และสิ่งสำคัญคือ ต้องมองว่าความผิดพลาดเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นชั่วคราว ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ใช่นิสัยของเรา ไม่ได้เป็นตัวกำหนดศักยภาพของเรา ใช่! มันอาจจะเป็นสิ่งที่เราทำ แต่ไม่เคยเป็นสิ่งที่เราเป็น ดังนั้น อย่าให้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตหรือครอบงำชีวิตคุณมากเกินไป

10. “ฉันภูมิใจในตัวเองและความสำเร็จของฉัน”

คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะไม่ได้อยู่กับความสำเร็จหรือความสุขตรงหน้า แต่จะผ่านเลยไปจดจ่ออยู่กับสิ่งต่อไปที่ต้องการให้สำเร็จ การทำแบบนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณก็ควรให้รางวัลกับความสำเร็จที่คุณพยายามทำด้วย บางคนหลีกเลี่ยงสิ่งนี้เพราะไม่รู้สึกว่ามีค่ามากพอหรือคู่ควรต่อการยกย่อง ความสำเร็จไม่ใช่ของขวัญ แต่มันคือผลจากการทุ่มเททำงานของคุณ


หากคุณไม่หยุดและรับรู้ถึงสิ่งนี้ คุณจะไม่มีวันซึมซับความรู้สึกของความสำเร็จได้อย่างเต็มที่ และแต่ละครั้งมันจะผ่านไปอย่างไร้ความหมายหรือความสำคัญ งานทั้งหมดที่คุณทำ หลายปีที่คุณทุ่มเท คุณเสียสละไปเพื่ออะไร ไม่เป็นไรที่คุณจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองและความสำเร็จของคุณ เพราะมันคือสิ่งที่คุณคู่ควรจะได้รับมันแล้ว

11. ฉันเป็นผู้ควบคุมคำตอบของตัวเองเสมอ”

ยิ่งคุณฝึกฝนการตอบสนองของตัวเองในการหยุด คิด และตัดสินใจว่าจะทำอะไรมากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมีความตั้งใจและสงบมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องใช้การฝึกฝน ยิ่งคุณตั้งใจเลือกคำตอบในการตอบสนองได้ดีเท่าไร คุณก็จะยิ่งมั่นใจเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์มากมาย เพราะคุณจะรู้สึกถึงความเป็นตัวเอง และความสามารถในการจัดการกับอะไรก็ตามที่เข้ามามากยิ่งขึ้น

12. “ไม่ต้องไปเสียเวลา พลังงาน สุขภาพจิตกับคนไม่น่าอยู่ด้วย”

คุณมีคุณค่ามากกว่าจะต้องยอมรับการปฏิบัติที่ไม่ดี เสียเวลาเถียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือต้องใช้เวลาอยู่กับคนที่ไม่น่าอยู่ด้วย คุณเลือกได้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากอยู่กับคนแบบไหน โดยไม่จำเป็นต้องแคร์ใครหรือทำให้ใครประทับใจ หากมันจะทำให้ชีวิต พลังงาน และสุขภาพจิตของคุณดีขึ้น จำไว้ว่า คุณไม่ใช่รถยนต์แบรนด์ตลาดที่ทำมาเพื่อตอบโจทย์ทุกคน แต่คุณคือ Rolls Royce จงให้คุณค่ากับตัวเองเช่นนี้ แล้วเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะกับตัวเองที่สุด

13. “ไม่มีใครดีหรือแย่กว่าฉัน”

จงเตือนตัวเองเสมอว่าไม่มีใคร “ดีกว่า” ตัวคุณ เพื่อรักษาความเชื่อที่ว่าคุณก็ดีพอ คู่ควรที่จะได้รับความสุขและความรักเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ และในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องเตือนตัวเองอีกเสมอว่าไม่มีใคร “แย่กว่า” คุณ เพื่อป้องกันไม่ให้คุณกลายเป็นคนมีอีโก้สูงเกินไป ไม่ว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือได้รับความชื่นชอบมากแค่ไหนก็ตาม

14. การให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว”

สิ่งหนึ่งที่ขัดขวางผู้คนไม่ให้ใช้เวลาไปกับการดูแลตัวเองหรือให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเอง คือ พวกเขาคิดว่ามันจะทำให้พวกเขาดูเห็นแก่ตัว เพราะนั่นหมายความว่า จะไม่ได้รับใช้หรือเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่น ๆ ในทุกช่วงเวลาที่ใช้ไปกับการดูแลตัวเอง นั่นเป็นความคิดที่ผิด “คุณไม่สามารถเทน้ำออกจากถ้วยเปล่าได้” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าคุณหมดแรง อ่อนล้า หมดไฟ คุณจะดูแลคนอื่นได้อย่างไร คุณจะแสดงตัวเพื่อคนที่คุณรักได้อย่างไร?


เช่นเดียวกับที่แอร์โฮสเตสสอนมาตรการด้านความปลอดภัยบนเครื่องบินว่า เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินคุณต้องสวมหน้ากากออกซิเจนให้ตัวเองก่อนที่จะช่วยเหลือคนข้าง ๆ นี่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นสิ่งจำเป็น เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณปลอดภัย แข็งแรง ก็จะทำให้คุณสามารถช่วยเหลือคนอื่นให้ปลอดภัยเหมือนกับคุณได้

15. “ฉันจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงเสมอ”

หลายคนตัดสินใจใช้ชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง เพียงเพราะโลกบอกคุณว่าคุณ “ควร” จะเป็นแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่บางครั้งคุณอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งเหล่านั้นหมายถึงอะไร เพื่อกำหนดว่าแท้จริงคุณเป็นใคร เพื่อก้าวไปสู่สิ่งที่เป็นตัวคุณมากขึ้น และเพื่อให้ผู้คนที่มีค่านิยมเดียวกับคุณอยู่ในเส้นทางเดียวกัน และเพื่อออกห่างจากสิ่งที่ไม่มีประโยชน์กับคุณ จงใช้ชีวิตตามความเป็นจริง เป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่ทำตามที่ใครบอกว่าควรจะเป็น เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น ยังอาจทำให้คุณหลงทางกว่าเดิม

ที่มา : https://shorturl.asia/azSnu