เคยได้ยินประโยคนี้ไหม? จะหนีอะไรก็หนีได้ แต่คุณไม่สามารถหนีความจริงที่เกิดขึ้นในขีวิตได้! แม้ความจริงบางอย่าง จะไม่ตรงใจเอาซะเลย แถมบางครั้งยังสร้างความเจ็บปวดให้อีก ในเมื่อหนีไม่ได้ ก็จงยอมรับความจริง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ แต่เพราะชีวิตต้องเจอเรื่องราวมากมาย
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับทุกเรื่องหากมันจะยิ่งสร้างความลำบากให้ตัวเอง แค่เรื่องที่สำคัญและไม่ทำให้คุณต้องเสียใจหรือเสียโอกาสบางอย่างในอนาคตก็พอแล้ว ซึ่ง 7 ความจริงต่อไปนี้ คือ ความจริงในชีวิตที่คุณควรยอมรับให้ได้มากที่สุด!
1.ความกลัวไม่มีอยู่จริง แต่เป็นเราเองที่สร้างมันขึ้นมา
“ความกลัว” เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่น่าแปลกที่บางครั้งหลาย ๆ คนไม่สามารถยอมรับความกลัวของตัวเองได้ บางคนถึงขั้นพยายามหลบซ่อน เก็บอาการ ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไร เพื่อป้องกันตัวเองจากความกลัวที่อาจต้องเจ็บปวด ซึ่งรู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้ว ความกลัวไม่เคยมีอยู่จริง แต่เป็นตัวเราเองที่สร้างมันขึ้นมา ในเมื่อมันเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง จงทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความกลัวจนไม่กล้าทำอะไร อย่าปล่อยให้มันเข้ามาบั่นทอนความเข็มแข็งของจิตใจคุณไปเสียหมด
2.ความลังเลเป็นสิ่งที่ทำให้เสียเวลาชีวิต และทำให้คุณต้องทำงานหนัก
“เวลา” คือสิ่งมีค่าและเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ แต่หลายครั้งเรามักรู้สึกเกิดความลังเลเมื่อต้องเลือกหรือตัดสินใจบางอย่าง เช่น ลังเลว่าจะทำงานนี้สำเร็จหรือไม่? ลังเลว่าเลือกแบบไหนดีกว่ากัน? ซึ่งอาจทำให้คุณต้องทำงานอย่างหนักขึ้นเพื่อแข่งกับเวลาที่เสียไปกับความลังเล ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำให้คุณมัวแต่มองย้อนกลับไปอดีตแทนที่จะเดินหน้า
ดังนั้น เพื่อที่จะไม่เสียใจทีหลัง คุณต้องยอมรับว่าสิ่งล่อใจที่จะทำให้เกิดความลังเลมีอยู่ทุกที่ แต่เป็นหน้าที่ของคุณที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงอยู่ในความลังเลจนเสียเวลาหรือเสียโอกาสสำคัญไป ถ้าคุณสามารถตัดสินใจเลือกสิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ได้ คุณก็จะสามารถก้าวไปสู่พรุ่งนี้โดยไม่ต้องถูกพันธนาการของเมื่อวานรั้งไว้
3.อย่าเดินละเมอหลงทางตลอดชีวิต
นี่คือหนึ่งในบทเรียนของ Warren Buffet ซึ่งหมายความว่า คุณต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้ในตอนนี้อย่างทันที อย่ารอจนมันสายเกินไป เพราะจนกว่าคุณจะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต คุณอาจต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ดังนั้น การเสี่ยงดวงลองลงมือทำเลยย่อมดีกว่าการอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป
ซึ่งนี่ก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ลองคิดทบทวนกับตัวเองว่า ตอนนี้คุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่ หรือมีอะไรที่อยากทำแต่ทำไม่ได้หรือยังไม่ได้ทำบ้าง เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร จงเดินหน้าลงมือทำ อย่าปล่อยให้ตัวเองหลงทางนาน
4.ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตตามกฎหรือความคาดหวังของใครเสมอไป
แน่นอนว่าการใช้ชีวิตเรื่องของ “กฎ” และ “ความคาดหวัง” จากทั้งคนในครอบครัว หรือแม้แต่สังคมตั้งไว้ให้คุณต้องทำตามเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ใช่ว่าจำเป็นต้องทำตามทุกอย่างโดยเฉพาะหากสิ่งนั้นไม่ได้นำเงินหรือความสุขมาให้ เพราะความสุขที่แท้จริงของคนเรา คือการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นหมอ เพียงเพราะพ่อแม่อยากให้เป็น คุณไม่จำเป็นต้องเรียนครูแทนที่จะเรียนดนตรีในแบบนที่ตัวเองชอบ ชีวิตเป็นของเราไม่ใช่ของคนอื่น หยุดจำกัดตัวเองเพราะต้องทำตามความคาดหวังของใคร
5.การเป็นคนใจดี จะตอบแทนคุณด้วยพลังงานดี ๆ
เพราะความใจดีมีเมตตาไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนโลกรอบตัวเราให้น่าอยู่ขึ้นเท่านั้น แต่หากเราเป็นหนึ่งในคนใจดีเหล่านั้นมันยังเปลี่ยนชีวิตเราด้วย จงเรียนรู้ที่จะให้มากกว่าที่คุณได้รับ อาจเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการยิ้มให้คนแปลกหน้าที่ดูเหมือนว่าเขากำลังเผชิญวันแย่ ๆ อยู่, ให้เงิน 100 บาทกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ลืมกระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน เมื่อคุณจดจ่ออยู่กับความใจดี คุณก็จะได้รับความใจดีจากคนอื่น รวมถึงนำพาพลังงานแง่บวกมากมายมาสู่ชีวิตและให้คุณมีความสุขกับแต่ละวันได้ง่ายมากขึ้น
6.ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่าง แต่จงรู้จักขอบคุณสิ่งเล็กน้อยที่คุณมีก็พอ
ยิ่งอายุมากขึ้น เราทุกคนจะยิ่งซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะยังคงให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่ยังไม่มี คุณไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างที่ใจต้องการ หากมันยากเกินไป แต่จงรู้จักขอบคุณและให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยที่มีในชีวิต เช่น การอ่านออกเขียนได้ มีอินเทอร์เน็ตใช้ มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ มีงานดี ๆ ทำ
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ แต่อย่าลืมว่าบนโลกนี้มีคนอีกมากมายที่ไม่ได้มีโอกาสหรือมีในสิ่งที่คุณมี ยิ่งคุณสามารถขอบคุณสิ่งดี ๆ และมีความสุขกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตได้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งได้รับสิ่งดี ๆ โอกาสดี ๆ มากขึ้นเท่านั้น
7.อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
หลายครั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้น ความคิดของคนเรามักมุ่งให้ความสนใจไปที่ปัญหานั้นเสมอ จนบางครั้งจากเป็นเพียงปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้สำคัญอะไร แต่เป็นเราเองที่ทำให้มันยุ่งเหยิงและแก้ยากกว่าเดิม กี่ครั้งแล้วที่วันนี้คุณคิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับคุณมาก แต่ในวันถัดไป สัปดาห์ หรือเดือนถัดไป คุณกลับแทบจะไม่เคยคิดถึงมันเลย
หากความคิดนี้เกิดขึ้นกับคุณอีก จงหยุดทบทวนและถามตัวเองก่อนว่า ปัญหานี้จะส่งผลอะไรกับคุณเมื่อเวลาผ่านไปหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่คำตอบคือ “ไม่” ดังนั้น เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมานั่งเสียใจทีหลัง จงอย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ หยุดกังวล และตัดทุกเรื่องที่ไม่จำเป็นออกไปจากความคิดให้ได้
ที่มา :