ในยุคที่การตลาดออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญ หลายคนทำการตลาดกันอย่างดุเดือด เพราะมองเห็นถึงโอกาสของการตลาดออนไลน์จนมองข้ามข้อเสียของช่องทางนี้ไป วันนี้เลยได้นำเอา 8 ความจริงที่คุณต้องยอมรับในการทำ “การตลาดออนไลน์” ถึงแม้จะโหดร้าย แต่มันคือเรื่องจริง มาฝากทุกท่านกัน แต่ไม่ใช่เพื่อขู่ให้หนีจากช่องทางนี้ แต่เพื่อทำความรู้จักในอีกแง่มุมนึง เพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงข้อเสียที่จะเกิดขึ้นและให้ธุรกิจของคุณดำเนินกิจการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
1. การทำโฆษณาก็ไม่ได้ให้กำไรเสมอไป
เป็นสิ่งที่คนมักเข้าใจผิดกันว่าการจ่ายเงินเพื่อยิงแอดโฆษณาเดือนละหลายพันหรือจ้างทีมการตลาดหลายหมื่นบาท แถมบางคนยังเคยหมดเงินไปกว่า 6 หลัก นั่นอาจเป็นเพราะทำโฆษณาผิดแพลตฟอร์มตามลักษณะของกลุ่มลูกค้า, คู่แข่งเยอะทำให้ค่าโฆษณาแพงขึ้นและส่งผลให้ CAC สูงขึ้น, ยังไม่รู้ CAC สูงสุดของธุรกิจตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำคือการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CAC และกลุ่มลูกค้าว่าเขามีพฤติกรรมแบบใดและเหมาะกับการทำโฆษณาบนแพลตฟอร์มไหน เพื่อทำให้การโฆษณาของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
* CAC – Customer Acquisition Cost หรือ การคำนวณค่าใช้จ่ายของการได้ลูกค้าจากการทำโฆษณานั้นๆ โดยส่วนมากจะคิดเป็นรอบปี หรือตามช่วงระยะเวลาของแคมเปญ
2. ความคิดเห็นแง่ลบอาจเลวร้ายมากกว่าที่คิด
คนทำงานออนไลน์ก็คงต้องเคยเจอคอมเมนต์แง่ลบหรือบั่นทอนกำลังใจมากันอยู่แล้วใช่ไหม ทั้งความคิดที่ไม่ตรงกัน คำตำหนิ หรือแม้แต่คำดูถูก และความคิดเหล่านี้แหละอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โฆษณาของคุณถูกตรวจจับว่าเป็นโพสต์ที่ “ไม่เหมาะสม” ถ้าโชคดีหน่อยโพสต์ก็แค่หายไป แต่ถ้าโชคร้ายบัญชีของบริษัทคุณอาจถูกเตะออกจากแพลตฟอร์มนั้นๆ เลยก็เป็นได้
3. ผลกระทบจากการกระทำที่ไม่ใช่ความผิดของคุณ
จากข้อก่อนหน้ามันคงไม่เป็นอะไรหากความคิดเห็นแง่ลบนั้นมาจากสินค้าที่ไม่ดี หรือการบริหารที่ไม่ค่อยเป็นระเบียบของธุรกิจ แต่มากกว่านั้นคือแม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำอะไรผิด ธุรกิจของคุณทั้งถูกกฎหมาย สินค้าก็คุณภาพดี หากแค่ไม่ถูกใจคนบางกลุ่มก็อาจทำให้ถูกขับออกจากแพลตฟอร์มนั้นๆ ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นจึงควรวางแผนอย่างรอบคอบในการจะลงทุนมากบนแพลตฟอร์มที่คุณไม่ได้แม้แต่จะเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
4. ไม่สามารถคัดกรองลูกค้าได้
ในบางครั้งการทำโฆษณาที่เน้นปริมาณมากแต่ต้องรวดเร็วแถมต้องอยู่ในราคาที่ประหยด อาจทำให้คุณได้ลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมันส่งผลให้พวกเขาไม่ได้มีความภักดีต่อแบรนด์ เห็นแล้วจึงซื้อแต่เมื่อไม่พอใจก็ขอคืนสินค้า พร้อมคอมเมนต์ด่าทอด้วยคำหยาบเสียๆ หายๆ ขออย่าตกใจไปเพราะนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของความโหดร้ายในการทำการตลาดออนไลน์อย่างที่คุณไม่อาจเลี่ยงได้นั่นเอง
5. SEO อาจไม่สร้างผลลัพธ์ทันที
SEO คือการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะส่งผลดีมากต่อธุรกิจโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์และบริการที่ผู้คนมักค้นหา และถึงแม้ว่าอาจดูเป็นทางเลือกที่ถูกและง่าย ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่วิธีที่จะสร้างผลลัพธ์ได้ในทันที เพราะการทำ SEO อาจต้องเวลานานถึง 6 เดือน ในการสร้างตัวตนบนโลกดิจิทัลของคุณ หรืออาจมากกว่านั้น ดังนั้นจึงต้องใช้การทำการตลาดแบบอื่นควบคู่กันไป
6. อัตราการคืนสินค้าไม่ใช่เรื่องตลก
เพราะการขายของออนไลน์ลูกค้าไม่สามารถเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อได้ นั่นทำให้อาจมีการขอคืนสินค้าได้ คุณอาจจะยังนึกภาพไม่ออก แต่หากธุรกิจของคุณใหญ่ขึ้น มีออเดอร์จำนวนมากขึ้น ก็ควรที่จะกำหนดนโยบายการคืนสินค้า เช่น 30 วัน คุณก็ควรวางแผนการใช้เงินจนกว่าจะผ่านกรอบเวลานั้นไป เพราะหากนำเงินใช้ก่อนแต่ลูกค้าต้องการให้คืนเงินหรือคืนสินค้าก็จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจได้ ทางที่ดีควรเก็บรายได้ทั้งหมดไว้จนกว่าจะครบกรอบเวลาการคืนสินค้า
7. การทำกำไรจากโฆษณาออนไลน์อาจน้อยลง
พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป การจะกดสั่งซื้อสินค้าทันทีหลังจากเห็นโฆษณาน้อยลง แต่ต้องการการเอาใจใส่จากการพูดคุยสอบถามรายละเอียดมากขึ้น ดังนั้นการคาดหวังกำไรจากการทำโฆษณาเหมือนเมื่อก่อนอาจไม่ได้ผลเท่าเดิม คุณเอาใจใส่ลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะช่องทางการติดต่อที่ขึ้นไว้ในโฆษณา หรือโพสต์บนโซเชียลมีเดียก็ตาม เมื่อลงทุนกับโฆษณาแล้วก็ควรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าดังนั้นไม่ควรปล่อยโอกาสที่จะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นหายไป
8. กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการตัดใจ
หากมันไม่ได้ผลก็ต้องตัดใจ ฟังแล้วอาจจะดูแปลกและขัดใจว่าถ้าไม่ทำแล้วจะได้เงินได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนว่าการทำการตลาดในปริมาณที่มาก ไม่ได้จะส่งผลดีเสมอไป แต่ไม่ได้จะบอกว่าให้เลิกทำกิจการ เพียงแค่ต้องฟังในสิ่งที่คุณทำ เพราะการทำโฆษณาก็ส่งผลดีกับบางธุรกิจแต่ไม่ใช่ทุกคน เมื่อคุณรู้แล้วว่าทำการตลาดบนช่องทางนี้อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ ก็ต้องตัดใจแล้วเปลี่ยนช่องทางเพื่อหาจุดที่ลงตัวกับธุรกิจตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่าคู่แข่งจะได้พื้นที่การตลาดไป เพราะถึงคุณดันทุรังต่อไปก็ไม่ได้กำไรอยู่ดี สู้ไปหาช่องทางอื่นจะดีกว่า
สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประกอบการทุกท่านสู่ต่อไปกับการทำธุรกิจต่อไป จงเรียนรู้ในข้อเสียของการตลาดออนไลน์และนำมาปรับใช้กับธุรกิจเพื่อหลีกเลี่ยงและหาวิธีวางแผนดำเนินการอย่างรอบคอบ เพราะไม่ว่าจะโลกออนไลน์หรือโลกความจริงก็โหดร้ายด้วยกันทั้งนั้น เพียงแค่คุณต้องเรียนรู้ที่อยู่กับมันและหาทางไปต่อให้ได้เท่านั้นเอง
ที่มา : https://bit.ly/3yzJtb1