กว่าจะได้กาแฟสักถ้วย ที่เข้มข้น กลมกล่อม ผ่านการคัดสรร และคั่วบด อย่างลงตัวกับความร้อนที่เหมาะสมชงอย่างพิถีพิถัน จนได้กาแฟที่ดีที่สุดเช่นเดียวกับการทำธุรกิจ ที่ต้องผ่านการทำงานอย่างหนัก และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จและการพาบริษัทเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็คงเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับการได้สัมผัสกาแฟชั้นดีสักถ้วยประเทศไทย มี SMEs เกิดขึ้นมากมายมีบริษัทจดทะเบียน นับหมื่น นับแสนแต่มีเพียงไม่กี่ร้อยบริษัท ที่สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จคงจะดีถ้าเราได้มีโอกาสสัมผัสกับรสชาติกาแฟ ของเหล่า CEO ผู้สร้างธุรกิจพันล้าน หมื่นล้าน ในตลาดหลักทรัพย์
ซีอีโอในสัปดาห์นี้ที่ผมจะมาขอจิบกาแฟด้วยคือ คุณคิม ทรงวิทย์ ฐิติปุญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเนอร์เจติค ออโต้เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจด้านรถยนต์ให้เช่าแบบครบวงจร ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วประเทศกับปรัชญา และแนวคิดที่ท าให้บริษัทเติบโตมากว่า 14 ปีมีมูลค่าตลาดกว่า 2,000 ล้านบาท และเคยก้าวไปสู่มูลค่าตลาดสูงสุดกว่า 10,000 ล้านบาท ที่สำคัญเลยคือการเติบโตมาจากการเป็น SME ที่บอกเลยครับว่าบทความนี้แม้อาจจะยาวแต่จะไม่เสียดายเวลาที่ใช้อ่านไปแน่นอนครับ
ขอเริ่มที่เรื่องกาแฟก่อนเลยนะครับ อยากทราบง่าปกติคุณคิมชอบดื่มกาแฟอะไร
ปกติผมดื่มแต่อเมริกาโน่ร้อนครับ ผมชอบกาแฟดำ
แล้วถ้าหากต้องเปรียบเทียบ asap เป็นกาแฟ คุณคิมคิดว่าเป็นกาแฟอะไรครับ
ผมว่าไม่ใช่อเมริกาโน่แน่นอน เพราะอเมริกาโน่มีเพียงรสชาติเดียวคือเข้มและขมตามรสชาติของกาแฟ ส่วน asap นั้นต้องเป็นกาแฟที่มีการปรุงแต่งและมีส่วนผสมในตัวเยอะมาก และแน่นอนว่าจะไม่ใช่กาแฟที่สามารถหาดื่มได้ทั่วไปแน่นอน หายาก แต่เมื่อได้ดื่มแล้วลูกค้าทุกท่านต้องชอบแน่นอน
ก่อนอื่นของทราบว่า asap เข้าตลาดมากี่ปีแล้วครับ
จะครบ 3 ปีในเดือนมีนาคมนี้ครับ
การเป็นซีอีโอของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์นี้เป็นอย่างไรบ้างครับ
ในส่วนมุมมองการทำธุรกิจนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ แต่มุมมองในเรื่องหลักความคิด ต้องปฏิบัติงานในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำเพื่อผู้ถือหุ้นด้วยตัวนี้ทำให้เรามีความรับผิดชอบที่มากขึ้นแล้วก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่างเช่นกัน
ขอถามเพื่อให้ทุกคนรู้จัก asap auto park ก่อนครับว่าให้บริการอะไรบ้าง
ที่นี่ asap auto park เป็นการทำธุรกิจแบบนำรถที่ครบเทอมในการให้เช่า มีทั้งแบบ 3 ปี 4 ปี และ 5 ปี มาจำหน่ายให้กับลูกค้าโดยตรง รวมถึงการมีบริการให้เช่าแบบระยะสั้นด้วย ซึ่งตรงนี้เพิ่มขึ้นมาในตอนที่เราเข้าตลาด เพราะในปัจจุบันการให้เช่าระยะสั้นมีแต่แบรนด์ที่เป็นอินเตอร์เนชันแนลเสียส่วนใหญ่ แต่ asap เป็นแบรนด์ที่เราทำเอง เป็นแบรนด์ของคนไทย เพื่อให้บริการชาวไทยและชาวต่างชาติ ดังนั้นปัจจุบันนี้เราจึงมี 2 ธุรกิจนี้ครับ คือให้ขายและให้เช่า
ปัจจุบัน asap มีกี่สาขาแล้วครับ
สำหรับ asap เราเรียกว่าเป็นแฟรนไชส์ ชื่อว่า asap select ตอนนี้มีทั้งหมด 4 สาขา คือที่นนทบุรี นครราชสีมา อุบลราชสีมา แล้วก็ที่ล่าสุด คือที่เชียงใหม่ เพิ่งเปิดไปเมื่อไตรมาสสุดท้ายของปลายปีที่แล้ว และรถของ asap ทุกคันถูกจดทะเบียนภายใต้ชื่อ asap ทั้งหมด ทำให้เราสามารถเปิดเผยให้ลูกค้าดูข้อมูลรถได้ทั้งหมดตั้งแต่กิโลเมตรแรกเลย ก็คือวันที่ออกป้ายแดง จนถึงวันที่เรานำรถมาจอดขาย มีข้อมูลทั้งหมดว่ารถเราผ่านเข้าศูนย์บริการนั้นไปทำอะไรมาบ้าง เคยมีอุบัติเหตุไหม ลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลรถได้แบบละเอียดยิบเลยครับ
ในพอร์ทของ asap มีรถทั้งหมดกี่คันครับ
ตอนนี้เกือบ 20,000 คันครับ
ขอทราบความเป็นมาธุรกิจ asap หน่อยครับว่ามีความเป็นมาอย่างไรครับ
asap เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาจากการที่เราทำธุรกิจให้เช่ารถยนต์อย่างเดียว แล้วระยะเวลาหลังจากทำมาประมาณ 6 – 7 ปี ก็มีไอเดียว่าอยากนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อระดมทุน สร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันทางการเงินและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าด้วยครับ เลยต้องเพิ่มความหลากหลายในธุรกิจ จึงเป็นที่มาของการมีบริการรถเช่าระยะสั้นให้กับบุคคลทั่วไป แล้ววันหนึ่งเราก็มีแนวคิดว่ารถยนต์ที่เรามีในพอร์ทจะต้องมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการที่จะจำหน่ายรถในพอร์ทของเราให้ได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ก็ต้องทำโชว์รูมขึ้นมาเพื่อจำหน่ายให้กับลูกค้าได้โดยตรง แล้วตอนนี้เราก็มีการบริการให้เช่ารถที่หลากหลายรูปแบบมาก เรามีแอปพลิเคชั่นในการให้บริการเช่ารถ คือแอป asap Go บริการเช่ารถแบบระยะสั้นๆ สามารถซอยเป็นรายชั่วโมง สามารถเช่าและจ่ายตามการใช้งานจริงได้เลย นอกจากนี้ยังมีให้บริการคนขับรถ ลูกค้าองค์กรสามารถเช่ารถพร้อมคนขับ หรือจะเช่าเฉพาะคนขับรถก็สามารถทำได้
การเติบโตของ asap เป็นอย่างไรครับ
ในช่วง 5 ปีแรกเราเติบโตแบบไม่มีอะไรโดดเด่นมาก เพราะเป็นช่วงแรกที่ผมยังต้องศึกษาตลาดและธุรกิจที่เป็นรถเช่า ซึ่งผมเองถึงจะมีแบ็คกราวด์ทางด้านรถยนต์อยู่แล้วแต่บริการทางด้านให้เช่ายังไม่มีประสบการณ์ เมื่อผ่านไป 5 ปี ก็เกิดความมั่นใจมากขึ้น คิดว่ารูปแบบธุรกิจที่เรามองคงไม่มีอะไรผิดพลาดไปจากสิ่งที่เราเข้าใจ ทำให้เรากล้าที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ช่วง 5 ปีแรกเรามีรถในพอร์ทเพียง 3,000 คัน แต่ในวันนี้ ผ่านมาอีก 5 ปี เราสามารถขยับขยายจนมีรถในพอร์ทถึง 20,000 คัน
แล้วจริงๆ การเช่ารถสำหรับองค์กรเป็นอย่างไรครับ มันดีกว่าเช่าบุคคลยังไง
มันดีตรงที่ว่า มันสามารถรับรู้รายได้ได้อย่างสม่ำเสมอ เช่นว่ารถคันหนึ่งมีลูกค้าเช่าของเราด้วยสัญญา 4 ปี หรือ 5 ปี เราก็จะรับรู้ได้แล้วว่ารถคันนี้สามารถทำรายได้เข้ามาในระยะเวลา 4 – 5 ปี ซึ่งลูกค้าหากเป็นองค์กรใหญ่ๆ ปริมาณการเช่าก็เป็นหลักร้อยคัน จนถึงพันคันก็มี แต่ในส่วนการเช่าบุคคลก็จะเป็นช่วงไปตามฤดูกาลการใช้งาน ซึ่งรถหนึ่งคันนั้นเราจะไม่สามารถหารายได้ที่แน่นอนหรือมีคนเช่าไม่ได้ทุกวันแน่ๆ มันก็จึงเป็นความเสี่ยงของความไม่แน่นอนทางด้านรายได้ อย่างเช่นช่วงนี้มีเรื่องราวของโรคระบาด ก็ทำให้ปริมาณการเช่าของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติลดลง ในเรื่องสัดส่วนรายได้นั้น 90 เปอร์เซ็นของเราเป็นลูกค้าองค์กรซึ่งเป็นรายได้ที่ชัดเจนแน่นอน ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นเป็นลูกค้าบุคคลที่อาจจะไม่แน่นอนบ้าง แต่ข้อดีคือมีผลตอบแทนที่สูงกว่า
ทำไมลูกค้าองค์กรต้องใช้บริการรถเช่าจาก asap ครับ ข้อดีของที่นี่คืออะไร
ผมว่ามองเป็น 2 ภาพ ภาพแรกคือในส่วนของลูกค้าสามารถรู้ต้นทุนได้ทันทีว่า รถหนึ่งคันมีต้นทุนเกิดกับบริษัทเท่าไหร่ ปีละเท่าไหร่ ซึ่งต้นทุนนี้จะไม่ผันแปลมากนัก เรียกได้ว่าค่อนข้างตายตัว เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าซ่อม ค่าหารถมาทดแทน หรือปัญหาค่าใช้จ่ายจากการเกิดอุบัติเหตุครับ อย่างรถคันหนึ่งราคาเช่าเดือนละ 10,000 บาท ลูกค้าเช่า 4 ปี ก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 480,000 บาท ตายตัวเลย ซึ่งมันทำให้ลูกค้าองค์กรสามารถคาดการณ์ได้ แล้วก็ยังไม่ต้องคำนึงถึงราคารถที่จะต้องขายออกไปในอนาคตเพื่อที่จะเปลี่ยนคันใหม่ ฉะนั้นในมุมของลูกค้าได้เปรียบในเรื่องนี้
ภาพที่สองในคือ ทำไมต้องเลือก asap นั้น จุดแข็งของเราคือรถในพอร์ทเยอะ ทำให้มีรถทดแทนที่สามารถอำนวยความสะดวกลูกค้าได้ เมื่อลูกค้าเกิดอุบัติเหตุหรือรถเสีย ซึ่งเรามีสาขาในเมืองใหญ่อย่างที่บอก นอกจากนี้ยังมีสาขาตามสนามบินที่จะกระจายรถให้ลูกค้านำไปใช้ทดแทนได้ทั่วประเทศและทันท่วงที แล้วสิ่งสำคัญคือเราเป็นดีลเลอร์รถยนต์โตโยต้าด้วย ทำให้เราสามารถบริหารในด้านต้นทุนเรื่องรถได้ดีในระดับหนึ่งเพราะฉะนั้นเราก็จะเอาสิ่งที่เราสามารถทำได้ดีเหล่านี้มอบให้กับลูกค้า ที่ลูกค้าเลือกไว้วางใจ asap
ตอนเข้ามาในตลาดนั้นวันที่มูลค่าหุ้นขึ้นไปสูงสุดของ asap นั้นขึ้นไปอยู่ที่มูลค่าเท่าไหร่ครับ
วันนั้นมูลค่าหุ้นเราที่ขึ้นไปสูงสุดคือ อยู่ที่ประมาณหุ้นละ 13 บาท มูลค่าบริษัทก็จึงอยู่ที่ประมาณเกือบๆ 10,000 ล้านบาท
สำหรับ SME หลายคนที่ยังสงสัยถึงการเติบโตของธุรกิจที่สามารถสูงขึ้นไปถึงระดับหมื่นล้านบาทได้นั้นมันทำได้จริงใช่ไหมครับ
ผมว่าถ้าเรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจของเรา แล้วตั้งเป้าหมายที่ละขั้นจะดีกว่า ถ้าเริ่มตั้งเป้าหมายตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มทำธุรกิจว่าเราจะต้องมีรายได้ปีละเท่านี้เลยแบบนี้ผมคิดว่าสุดท้ายเราจะท้อเพราะเป็นไปได้ค่อนข้างยาก แต่ถ้าเราตั้งเป้าแบบให้เป็นไปทีละขั้นแล้วก้าวเดินตามแผนที่เราวางเอาไว้เรามีโอกาสที่จะไปถึงจุดเราวางเอาไว้ได้สบายมาก และผมเชื่อว่าในชีวิตคงไม่มีคำว่าสูงสุดมันมีสเต็ปต่อเนื่องไปได้อีกเรื่อยๆ
คุยเรื่อง asap กันไปมากแล้วอยากรู้จักตัวคุณคิมบ้างว่า ซีอีโอในแบบคุณคิมเป็นแบบไหน และซีอีโอแบบคุณคิมทำอะไรบ้าง
อื้อหือ ตอบยากนะ (หัวเราะ) ผมเป็นคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจด้วยตัวเอง ก็ทำธุรกิจมาประมาณ 25 – 30 ปีแล้ว ซึ่งผลจากการทำงานที่ผ่านมาเป็นตัวหล่อหลอมแนวคิดและปรัชญาในการทำงานของผม ผมไม่ใช่ซีอีโอที่ทำเพียงกำหนดนโยบายเองแล้วส่งให้ผู้บริหารไปทำตามอย่างเดียว แต่ผมจะกำหนดนโยบายที่มาจากความเห็นของกับคนทุกๆ ส่วน แล้วทุกหน่วยงาผมก็จะเข้าไปเป็นแม่ทัพเพื่อนำให้นโยบายนั้นมันประสบผลสำเร็จได้จริง
หมายความว่าคุณคิมเป็นซีอีโอที่ลงไปทำในส่วนของเนื้องานด้วยใช่ไหมครับ
ลงครับ เรียกว่าลงไปเดินคลุกฝุ่นกับลูกน้องด้วย แต่ว่าผมจะไม่ก้าวล่วงหรือลงไปทำให้ความเป็นตัวของตัวเองในการทำงานของลูกน้องนั้นเสียหายนะ
งั้นต้องขอเรียนถามครับว่าจริงๆ แล้วนั้นซีอีโอสำหรับคุณคิมนั้นมีหน้าที่ทำอะไรบ้าง
ผมขอตอบว่าเป็นเจ้าขององค์กรแล้วกัน แต่มีหน้าที่ทำอะไรคำนี้ก็ตอบยากเหมือนกันนะครับ เพราะทำทุกอย่างตั้งแต่งานชิ้นเล็ก จนไปถึงงานชิ้นใหญ่ งานเล็กๆ เช่น การดูแลความเป็นอยู่ของพนักงาน ความพอใจของลูกค้า การสร้างยอดขาย กำหนดทิศทางการเดิน กำหนดแผนระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมเชื่อว่าซีอีโอทุกท่านก็คงมีส่วนร่วมและมีแนวคิดคล้ายๆ ผม ที่ต้องเห็นความสำคัญของเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นมันจึงครอบคลุมมาก
จากที่คุณคิมนั้นก็เริ่มต้นมาจากการเป็น SME แล้วเดินทางมาถึงจุดที่สามารถเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ได้ มีมูลค่าธุรกิจหลักพัน หลักหมื่นล้าน อยากทราบว่าแต่ละก้าวมันมายังไงครับ
ต้องบอกเลยว่าอย่างแรกที่ต้องมีเลยคือความอึดและความอดทน ส่วนในเรื่องการตั้งเป้าหมายผมมองว่า อยู่ที่ความมั่นคงทางด้านมุมมองและความคิด เพราะถ้าหากว่าเราเกิดความท้อแท้ มองว่าสิ่งที่เราคิดนั้นเกิดขึ้นและเป็นไปได้ยาก ผมเชื่อว่ามันจะทำให้แต่ละขั้นที่เราจะผ่านไปนั้นมันยากมาก และอันนนี้คือไอเดียของผมนะ ผมว่า
“ ทุกเป้าหมายจะไม่มีคำว่าจุดสูงสุด จะไม่มีคำว่านี่คือจุดสุดท้ายที่เราจะบรรลุให้ได้ เพราะผมเชื่อว่าทุกๆ เป้าหมายที่เราตั้งไว้เมื่อก้าวไปถึงแล้วมันเป็นความสำเร็จเพื่อที่จะก้าวไปต่อและมองว่าเป้าหมายถัดไปเราต้องเดินต่อไปยังไง”
เช่นอย่าง asap ทุกวันนี้เรารถในพอร์ทเท่านี้แล้ว มีมูลค่าการตลาดเท่านี้แล้วนี่คือเป้าหมายสูงสุดของ asap หรือยัง ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะถ้าคนถามผมว่าจุดสูงสุดของ asap อยู่ตรงไหน ผมคงตอบว่าตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่หากถามว่าภายใน 3 ปีนี้ เป้าหมายที่ผมวางไว้เป็นยังไง ตรงนี้ผมสามารถพูดได้ชัดเจนเลย และเมื่อสามารถถึงเป้าหมายที่วางไว้สามปีข้างหน้าได้แล้วแน่นอนผมก็ต้องมองหาเป้าหมายข้างหน้าต่อไปอีก
อย่างนั้นแล้วสเต็ปต่อไปของ asap เป็นอย่างไรครับ
ตอนนี้ผมมองว่าเราให้บริการครอบคลุมทั้งประเทศในแง่ของ B2B ซึ่งที่ผ่านมาตลอด 10 ปี เกือบ 100 เปอร์เซ็น แล้วเราจะมีการเขยิบไปในส่วนของ B2C มากขึ้น ไอเดียผมตั้งแต่เข้าตลาเดหลักทรัพย์ที่ผมพูดกับนักลงทุนและผู้สื่อข่าว คือ asap จะมีการเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ เราจะไม่เรียกตัวเองว่าธุรกิจที่ให้บริการทางด้านรถเช่า แต่เราจะเรียกตัวเองว่า ธุรกิจที่ให้บริการด้านความสะดวกสบายในการใช้รถยนต์ให้กับประชาชนทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ทั้งองค์และภาครัฐ นั่นคือนิยามตั้งไว้ให้กับ asap ในอนาคต ซึ่งตอนนี่เราผ่านสเต็ปที่ 1 มาแล้ว นั่นคือการมีพาร์ทเนอร์เข้ามาลงทุนแฟรนไชส์กับเรา เราสามารถให้บริการผ่านแอปพลิชั่น เราจะเปลี่ยนนิยามคำว่ารถยนต์ให้เช่า 3ปี 5 ปี หรือเช่ารายวัน จะไม่มีอีกแล้วกับการให้บริการของ asap เพราะเราสามารถคิดค่าเช่าได้แบบเป็นรายชั่วโมง ลูกค้าก็จ่ายเท่าที่ใช้จริง
หัวใจของธุรกิจบริการคืออะไรครับ ทำอย่างไรให้สำเร็จได้แบบ asap
ธุรกิจบริการสำคัญที่สุดเลยคือความพอใจของลูกค้านะครับ เป็นอะไรที่เราต้องคำนึงถึงเสมอ ซึ่งลูกค้าจะใช้บริการของเรา ซื้อซ้ำ ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายคือการเป็นครอบครัวเดียวกับเราได้นั้น ผมว่าสิ่งนี้ต้องใช้หัวใจในการเข้าไปจัดการ ซึ่งแน่นอนว่าของ asap นั้นลูกค้า 80 – 90 เปอร์เซ็น ใช้บริการกับเราตั้งแต่เกือบ 10 ปีที่แล้วและก็ยังเหนียวแน่นอยู่กับเรา ผมว่าจุดนี้คือสิ่งที่เราตอบได้เลยว่าเป็นจุดแข็งของการทำธุรกิจการให้บริการ เพราะธุรกิจบริการไม่ได้แข่งขันกันด้านราคาอย่างเดียว แต่ยังแข่งขันกันทางด้านจิตใจด้วยในการที่เราจะสามารถเอาชนะใจลูกค้าของเราได้
ทำอย่างไรให้ SME สามารถเดินทางมาถึงจุดที่ asap และคุณคิมมาถึงได้ครับ
ผมว่าอันดับแรกต้องหาจุดยืนและจุดแข็งของตัวเองให้เจอ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะแต่ละองค์กร แต่ละธุรกิจ ต้องหาจุดแข็งของตัวเองเจอ หาจุดแตกต่างจากคู่แข่งเจอ แล้วกำหนดดูว่าการเดินไปข้างหน้าของเรานั้นต้องเจออุปสรรค์อะไรบ้าง เราสามารถทำได้เต็มที่แค่ไหน ตรงนี้เป็นภาพรวมที่เราควรกำหนดให้ได้ตั้งแต่ 2 -3 ปีแรก ซึ่งแน่นอนว่า 2 – 3 ปีแรกนั้นย่อมยากลำบากมาก เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ เก็บประสบการณ์ เพื่อบรรลุเป้าหมายในขั้นแรก และเมื่อเราสามารถพิชิตได้ผมว่าขั้นต่อไปเราจะมีไอเดียหลั่งไหลเข้ามาเยอะมาก ซึ่งบางครั้งเป็นไอเดียที่หากเมื่อเรามองกลับไปเราจะพบว่ามันต่างไปจากตอนแรกที่เราเริ่ม และไอเดียที่เปลี่ยนไปนั้นมันย่อมเป็นไอเดียที่ดีต่อธุรกิจเราอย่างแน่นอนครับ
“เพราะความสำเร็จไม่มีคำว่าสูงสุด เราจึงต้องเดินทางพิชิตเป้าหมายไปทีละขั้น ที่สำคัญต้องไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองและค้นหาเป้าหมายใหม่ๆ” นี่คือแนวคิดดี ๆ ที่ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านน่าจะน่าจะข้อคิดจาก CEO คนนี้ไปใช้ได้ และเชื่อเหลือเกินว่าการมาจิบกาแฟกับCEO ตัวจริงในวันนี้ จะทำให้ทุกท่านได้รับแรงบันดาลใจดี ๆ และนำไปปรับใช้กับการบริหารธุรกิจของตัวเองเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งได้ครับ
รายการอายุน้อยร้อยล้าน แคมเปญพิเศษ Coffee with CEO ดูสดพร้อมกันได้ที่
Facebook : อายุน้อยร้อยล้าน
และช่อง Workpoint 23
ทุกเช้าวันเสาร์ เวลา 09.00 น.
ติดตามบทความ CEO Interview ได้ที่
Website : www.ryounoi100lan.com
Facebook : อายุน้อยร้อยล้าน
ทุกเช้าวันจันทร์ เวลา 06.00 น.