ตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ตใช้ โลกของเรานั้นก็เริ่มมีการพัฒนาและเติบโตแบบ Exponential หรือเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ในขณะที่การทำธุรกิจหรือการทำงาน คนส่วนมากยังมีการคิด การพัฒนาให้เติบโตแบบ Linear คือการเติบโตแบบเส้นตรงไปเรื่อยๆ ที่ละขั้นตอน ซึ่งผลจากการเติบโตของเทคโนโลยีในโลกที่ไปแบบก้าวกระโดดจึงทำให้ธุรกิจที่ยังพัฒนาแบบ Linear ก้าวตามคู่แข่ง ก้าวตามความต้องการของลูกค้า ก้าวตามพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีไม่ทัน สุดท้ายหลายธุรกิจที่แม้จะเคยแข็งแกร่งในอดีตก็ล้มหายไปในที่สุด
Digital Life จึงได้มาที่บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่เดียวที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลัง เพื่อมาพบกับ คุณท็อป จิรายุส ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการท าธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และการปรับตัวในยุคดิจิทัลเกี่ยวกับ Exponential หรือ การเติบโตแบบก้าวกระโดด
รู้จักการพัฒนาแบบ Linear และ Exponential
“การเติบโตแบบ Linear” คือการค่อยๆพัฒนาไปแบบทีละขั้นตอน มี Input ที่เท่ากับ Output การขยายธุรกิจทำได้ยากและช้ากว่า เช่นการเปิดร้านขายขายของ หากอยากขยายธุรกิจ มีลูกค้าในบริเวณอื่นๆ วิธีทำก็คือการลงทุนเปิดสาขาเพิ่มเรื่อยๆ ซึ่งงเป็นโมเดลธุรกิจแบบรุ่นเดิม อย่าง ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร แม้จะเป็นแบรนด์ดัง แต่หากต้องการให้ครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคน จากที่เราเห็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังของไทย นั้นต้องใช้ระยะเวลากว่า 3 เจนเนอร์เรชั่นจึงสามารถขยายสาขาให้ครอบคลุม
“การเติบโตแบบ Exponential” คือ การพัฒนาการเติบโตในแบบก้าวกระโดด มี Input น้อยแต่ได้ Output ที่มากกว่า การขยายธุรกิจทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีอย่างเช่น การเติบโตของ Amazon Facebook และ Google ที่ใช้ระยะเวลาเพียง 10 ปี ในการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมทั่วโลก และตัวอย่างของการเติบโตแบบ Exponential ที่ดีที่สุดในปี 2020 นี้ต้องพูดถึง Luckin Coffee สตาร์ทอัพกาแฟจีนที่สามารถขยายทั่วประเทศได้กว่า 3,000 สาขาภายใน 1 ปี ที่พยายามเปิดร้านขนาดเล็กที่สุด แต่เน้นการเดลิเวอร์รี่เป็นสำคัญ โดยให้ลูกค้าสั่งกาแฟผ่านแอปพลิเคชั่น จนทำภายในระยะเวลาเพียง 18 เดือน บริษัทมีมูลค่าในตลาดกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งคงเห็นได้ชัดว่าระยะเวลาเพียง18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่งของร้านกาแฟที่เริ่มพร้อมกันแต่มีการเติบโตแบบ Linear นั้นคงต้องเดินตาม Luckin Coffee อยู่เป็นหลักพันสาขาเลยทีเดียว
อีกหนึ่งตัวอย่างคือ Alipay บริษัท Online Banking ภายใต้บริษัทอาลีบาบา ของนักธุรกิจชื่อดังแห่งยุคอย่าง แจ็ค หม่า ที่เพิ่งเปิดขึ้นมาได้เพียง 6 ปี แต่ปัจจุบันกลับมีมูลค่าตลาดมากกว่า Goldman Sachs ธนาคารอันดับ 1 ของโลกที่ก่อตั้งมาแล้ว 150 ปี
ดังนั้นคงจะเห็นพลังของ Exponential แล้วว่าธุรกิจไหนที่สามารถวางแผนการขยายการเติบโตแบบ Exponential ได้นั้นสามารถสร้างมูลค่าธุรกิจได้สูงและเข้าถึงผู้คนได้อย่างครอบคลุมโดยระยะเวลาอันสั้นและยังสามารถเติบโตแซงบริษัทที่เติบโตแบบ Linear ไปได้แบบทิ้งห่าง
เทคโนโลยี องค์ประกอบหลังของการเติบโตแบบ Exponential
ถ้าโตแบบก้าวกระโดดได้ก็นำคู่แข่งไปได้ไกล ซึ่งการที่จะสามารถทำให้ธุรกิจสามารถขยายตัวแบบก้าวกระโดดได้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำงาน อย่างจะเห็นได้ว่าทำเนียบ 500 บรัษัทอันดับโลกส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่มีการเติบโตแบบ Exponential โดยเฉพาะบริษัทด้านไอทีเทคโนโลยี สำหรับบคนที่ทำธุรกิจแบบ Linear มาตลอดการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมเพิ่มศักยภาพของบริษัท ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ใช่เรื่องยากและลงทุนเยอะอีกต่อไป เพราะบริการ “คลาวด์เซอร์วิส” (Cloud Service) ที่สามารถช่วยให้บริษัทลดการใช้ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบุคคลากรที่มากมายด้านไอทีลงไปได้มาก เพราะไม่ต้องติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ ทำเครือข่ายข้อมูลอันเป็นที่มาของค่าใช้จ่ายและการซ่อมบำรุงที่ผู้ประกอบการเคยกลัว
นอกจากเรื่องระบบต่างๆ ภายในของบริษัทแล้ว ในปัจจุบันนี้การเข้าถึงเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปตั้งแต่เด็กจนถึงวัยชรา ผ่านการใช้สมาร์ทโฟนที่มีติดตัวกันแทบทุกคน ทำให้การเข้าถึงลูกค้าได้นั้นถือว่าเป็น 1 ต่อ 1 โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีร้านหรือสาขาทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เพราะสามารถใช้โซเชียลมีเดียส่งข้อมูลหรือโฆษณาให้ถึงมือลูกค้าได้จากการซื้อโฆษณาเพียงครั้งเดียว และทำจากที่ไดก็ได้แต่สามารถส่งให้ลูกค้าได้ทั่วโลก การคาดหวังเพียงลูกค้าในระแวกร้านจึงไม่ควรเป็นเป้าหมายของการทำธุรกิจในยุคนี้อีกต่อไป แต่ควรจะเป็นผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต 5,000 ล้านคนทั่วโลกและรับรองว่ายอดตัวเลขผู้ใช้งานนี้มีเพิ่มขึ้นทุกปี
“ Cloud Kitchen
บริการใหม่ที่ทำให้ร้านอาหารเพิ่มการขายได้
โดยไม่ต้องมีหน้าร้านอีกต่อไป ”
SME กับโอกาสการเติบโตแบบ Exponential
เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน พฤติกรรมของการดำเนินชีวิตของคนในยุคนี้จึงเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้กระทั่งการรับประทานอาหารที่คนเริ่มเน้นความสะดวกสบาย มองว่าการจะต้องไปทานถึงที่ร้านที่อยากทานนั้นไหนจะอาบน้ำแต่งตัว เดินทาง ติดแหง็กอยู่บนถนน สุดท้ายก็ไปรอคิวยาวเหยียด หากเป็นเมื่อสัก 10 ปีที่แล้วคนส่วนใหญ่คงเลือกไม่ได้ ถ้าจะเลือกได้ก็แค่เปลี่ยนมาเป็นร้านอาหารใกล้ๆ แทน แต่เมื่อเทคโนโลยีเข้ามาสู่โทรศัพท์ของทุกคน จึงมีธุรกิจที่เข้ามาเป็นทางที่เลือกได้ของคนอยากกินต้องได้กิน นั่นคือบริการ”เดลิเวอร์รี”ที่โตแบบก้าวกระโดดและแข่งขันกันอย่างสูงมากภายในไม่กี่ปีนี้ และนั่นก็เป็นที่มาเมื่อพฤติกรรมการรับประทานของผู้บริโภคเปลี่ยน ร้านที่อยากขายได้ก็ไม่จำเป็นต้องมีโต๊ะให้นั่งอีกต่อไป
ธุรกิจที่กำลังจะมาแรงตัวใหม่ในอนาคตอันใกล้ เพื่อเข้ามารองรับความต้องการของร้านอาหารที่อยากขายเดลิเวอร์รีให้ได้มาก แต่ไม่ได้อยากลงทุนขยายสาขา จึงเป็นที่มาของ Cloud Kitchen เป็นครัวกลางที่เพียงแค่ร้านอาหารส่งคนมาอยู่ที่ Cloud Kitchen ในจุดต่างๆ รับออเดอร์ผ่านแอปพลิเคชั่น ปรุงอาหารตามสูตรของร้านแล้วจัดส่งถึงลูกค้าได้เลย ซึ่งการเติบโตของ Cloud Kitchen นั้นอาจทำให้เกิดการข้ามประเทศของแบรนด์อาหาร ร้านราเมนแบรนด์ดังจากญี่ปุ่นที่ไม่มีสาขาในไทย ก็อาจจะส่งพ่อครัวพร้อมสูตรอาหารมาปรุงและจัดส่งได้ ผ่านการใช้บริการที่ Cloud Kitchen ทำให้ร้านอาหารญี่ปุ่นไทยต้องแข่งขันกับร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ที่มาจากญี่ปุ่นจริงๆ กลับกันแบรนด์อาหารหรือผู้ประกอบการไทยก็จะสามารถส่งพ่อครัวไปอยู่ประจำที่ Cloud Kitchen ในประเทศอื่นได้เช่นกัน
และเมื่อมีการแข่งขันสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ทางเลือกของผู้บริโภคก็มีมากแบบก้าวกระโดด การลงทุนของร้านอาหารในอนาคตก็จะไม่ใช่การขยายสาขาอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นการรักษาความสัมพันธ์ของผู้บริโภคกับร้าน คือสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคิดถึง รวมถึงคุณภาพ ความเร็วและรสชาติที่ต้องดีอยู่เสมอ
เมื่อมาถึงในยุค 5G ที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตจะสูงขึ้น สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น ความต้องการในด้านต่างได้รับการตอบสนองที่ไวขึ้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวที่ทำให้ผู้บริโภคนั้นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ธุรกิจ SME รวมถึงธุรกิจทุกขนาดที่จะอยู่รอดและได้ไปต่อคือ คือคนที่เปิดใจ ยอมรับสิ่งใหม่ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้เร็ว ก็จะได้ประโยชน์จากยุคนี้แบบเต็มที่ ทำให้สามารถขยับตามการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ต่อมาคือต้องพร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะข้อมูลทุกอย่างเข้าถึงง่านเพียงปลายนิ้วจิ้มค้นหา ทุกอย่างสามารถเรีนรู้ได้ในระยะเวลาที่สั้นลง เมื่อเรียนรู้เร็วก็ปรับตัวได้ไว เดินตามโลกได้ทัน
สุดท้ายนี้ คุณท็อปได้ฝากข้อคิดไว้ว่า “แต่หากคุณยังลังเลที่จะเดินไปข้างหน้า ยังไม่เปิดใจรับสิ่งใหม่ แม้จะเป็นระยะเวลา 2 ปีที่เสียไปของการไม่เปิดใจนั้นโลกก็อาจไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ดังนั้น มันสำคัญมากที่คุณต้องเปิดใจและศึกษาเรียนรู้ ทดลอง และลงมือทำ”