ในโลกของโซเชียล เน็ตเวิร์ก การทำคอนเทนต์ออนไลน์ถือเป็นสิ่งที่ SMEs ต้องมี ต้องเริ่มลงมือทำ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้คนรู้จักและเลือกซื้อสินค้าและบริการของเรา ในเวิร์กชอป ‘สร้างคอนเทนต์ ออนไลน์ Content Strategy & Story Telling ศาสตร์ที่ SMEs ต้องรู้’ ที่Mushroom Ministry Studio มีสองกูรูคือ ‘คุณโซอี้’ ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ เจ้าของเพจ โซอี้ Digital Shortcut : การตลาดออนไลน์ และ ‘คุณใหญ่’ กฤดา เสพมงคลเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องดิจิทัลและการถ่ายภาพจาก Big Camera มาร่วมให้คำแนะนำกับบรรดาเจ้าของธุรกิจกว่าร้อยชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์ เล่าเรื่องยังไงให้คนจดจำ ทำความเข้าใจแนวคิดการพัฒนา Content และ Context ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าออนไลน์ตัดสินใจซื้อของจากคอนเทนต์คุณ และเทคนิคการเขียน Headline ให้ดึงดูดความสนใจ รวมถึงการผลิต VDO Content ด้วยอุปกรณ์อย่างมืออาชีพ แต่หากใครพลาดเวิร์กชอปดี ๆ เช่นนี้ไป เรามีรีรันมาให้ได้เรียนรู้ไปด้วยกัน
สร้าง Content ให้น่าสนใจด้วยซุปไก่
ปัจจุบันเมื่อเลื่อนหน้าฟีดในโลกออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก เราจะเห็นว่าเต็มไปด้วยคอนเทนต์ต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่สเตตัสของเพื่อน ข่าวสารจากสำนักข่าว รวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ทั้งข้อความ ทั้งรูปภาพหรือวิดีโอ จำนวนมหาศาลเหล่านั้นเรียกได้ว่าเป็น สินามิ คอนเทนต์ ไม่เพียงเท่านั้นแต่ละโพสต์ก็ถูกเลื่อนผ่านอย่างรวดเร็วเพียงวินาที
สำหรับคนที่ทำธุรกิจทางออนไลน์ นั่นคือความท้าทายอย่างยิ่งที่จะทำให้โพสต์ของเรามีคนเข้าถึง เพราะนั่นย่อมหมายถึงโอกาสในการขายสินค้าและบริการ คำถามคือ ทำคอนเทนต์อย่างไรให้ดึงดูดใจลูกค้า จนต้องหยุดนิ้วมือดูโพสต์ของเรา กูรูด้านการตลาดออนไลน์อย่าง คุณโซอี้ Digital Shortcut บอกคีย์เวิร์ดของหลักการทำให้คอนเทนต์ว่า
…พูดในสิ่งที่คนอยากฟัง ทำในสิ่งที่คนอยากเห็น เขียนในสิ่งที่คนอยากอ่าน และในเวลาที่คนต้องการ
ช่วงที่เกิดสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการประกาศล็อกดาวน์ คุณโซอี้ ได้จัดรายการ Night Market ตลาดกูรูตอนดึก โดยมีคุณหนุ่ย – พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ แห่งแบไต๋ มาร่วมสนทนาถึงแนวคิดการทำคอนเทนต์
ขณะนั้น คอนเทนต์ที่คุณหนุ่มทำแล้วมียอดผู้ชมกว่าล้านวิวคือ ธนาคารไหนพักการผ่อนชำระหนี้บ้าง ซึ่งคุณหนุ่ยได้อธิบายกับเธอว่า ‘แค่พูดในสิ่งที่คนอยากฟัง ในเวลาที่ต้องการ’
ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือไทม์มิ่ง คุณโซอี้มองว่า ไม่ว่าจะทำธุรกิจใด ควรทำคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับกระแสที่เกิดขึ้นอยู่ เพราะคนต้องการอะไรที่เรียลไทม์ อัปเดตทันสถานการณ์
เพื่อให้เข้าใจถึงหลักการสร้างคอนเทนต์อย่างเข้าใจง่าย กูรูจาก Digital Shortcut ยังได้แนะนำเทคนิคการครีเอทคอนเทนต์ให้น่าสนใจด้วย ‘ทฤษฎีซุปไก่สกัด’
ทฤษฎีซุปไก่สกัดที่ว่ามีโครงสร้างคอนเทนต์ที่ประกอบด้วย
ส่วนแรก ‘เนื้อไก่ – Content’ เนื้อหาที่อยากจะสื่อสารให้ลูกค้าหรือผู้ติดตามให้ได้รับรู้ข้อมูล เช่น โปรโมชั่น คอลเลกชั่นใหม่ เป็นต้น
ส่วนสอง ‘น้ำซุป – Context’ บริบท เช่น ภาพอาร์ตเวิร์กประกอบที่สวยงาม หรือวิดีโอที่มีภาพและเสียงคมชัด เป็นต้น
แล้วต้องทำอย่างไรให้เนื้อไก่ดูน่าสนใจ และน้ำซุปกลมกล่อม ? เธอมีเคล็ดลับวิธีการปรุงรสชาติ
ส่วนแรกวิธีพัฒนา Content – เนื้อไก่
1. Copy & Paste วิธีนี้เรียกว่าเป็นการเปิดหูเปิดตา ดูคนที่อยู่ในสายธุรกิจเดียวกันว่าช่วงนั้นโพสต์เรื่องใด แล้วนำไอเดียมาต่อยอดสร้างสรรค์คอนเทนต์ของตัวเอง
2. Mix & Shake ควรติดตามคอนเทนต์จากหลาย ๆ เพจหรือธุรกิจ หากได้อ่านบทความที่สอดคล้องกับธุรกิจของเรา ก็นำมาเขย่าให้เป็นคอนเทนต์หรือคำพูดของตัวเอง อีกวิธีหนึ่งคือการแปลบทความจากต่างประเทศ
3. Real Experience สร้างคอนเทนต์จากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะในแต่ละวันที่ออกไปโลกภายนอก เชื่อว่าแต่ละคนก็มีเรื่องราวที่อยากเล่า หากสอดคล้องกับธุรกิจของเรา ก็สามารถเล่าออกมาเป็นเรื่องราวได้ เพราะทั่วไปแล้วคนชอบฟังการเล่าเรื่อง
ส่วนที่สองวิธีการปรุง Context – น้ำซุป ไม่ใช่เพียงแค่การเลือกภาพหรือใส่ฟอนต์เท่านั้น แต่มีแนวคิดที่ต้องนึกถึงดังนี้
1. Mood & Tone / Key Visual หรือถ้าเป็นบริษัทควรมี CI (Cooperate Identity) ภาพและกราฟิกควรต้องคุมให้อยู่ในบรรยากาศเดียวกันเสมอ เพราะการสร้างแบรนด์เป็นการสร้างภาพจำ อยากให้คนจดจำก็ต้องทำซ้ำ ๆ ยกตัวอย่าง รายการ อายุน้อยร้อยล้าน ก็ใช้ฟอนต์เดิม และคู่สีน้ำเงินกับชมพูแบบเดิม ซึ่งถ้าหากไม่ทำมูดแอนด์โทนให้ชัด จะทำให้คนจดจำแบรนด์ไม่ได้
2. Sound ปัจจุบันมีการ Live Streaming ซึ่งเรื่องเสียงประกอบก็ถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะทำให้คนจดจำได้ อย่างเช่น เพลงของ MK สุกี้ เป็นต้น
3. Key Message คล้ายกับสโลแกนหรือท่อนฮุก เพื่อให้คนจดจำ อย่างบังฮาซันก็จะมีประโยคดังคือ แม่ฉันต้องได้กินกุ้ง เป็นต้น
4. วิธีการนำเสนอ เมื่อเป็นคอนเทนต์ขายสินค้าหรือบริการเหมือนกัน การนำเสนอต้องแตกต่างกัน อย่างทางเฟซบุ๊กมีรูปแบบวิธีการนำเสนอให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น ภาพเดี่ยว ภาพอัลบั้ม VDO และ Live ซึ่งต้องเลือกให้เหมาะสมกัน
อย่างเช่น ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา คุณโซอี้คิดคอนเทนต์ที่จะโพสต์ส่งท้ายปี คือ สรุป 19 สิ่งที่โซอี้ได้เรียนรู้ในปี 2019 เพื่อสร้าง Engagement ให้คนกดไลก์กดแชร์ โดยเลือกวิธีการนำเสนอแบบ ภาพอัลบั้ม เพราะคอนเทนต์จะย่อยให้ดูง่าย และข้อความจะได้ไม่ยาวจนเกินไป
สำหรับการ Live ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในปี 2020 นี้ เพราะสามารถได้สร้าง Engagement ได้อย่างทรงพลัง แต่ประโยชน์ที่มากกว่านั้นคือ ระบบของเฟซบุ๊กยังบันทึกข้อมูลผู้รับชมให้ด้วย ซึ่งนำมาสร้าง Custom Audience เพื่อยิ่งโฆษณาไปหาผู้ชมให้กลับมาซื้อสินค้าได้อีกด้วย นอกจากนั้น เมื่อสิ้นสุดการ Live แล้ว หลายเพจยังนำมาตัดเป็น VDO สั้น ๆ แล้วโพสต์เป็นคอนเทนต์ใหม่
หากเข้าใจโครงสร้าง เนื้อไก่ดี น้ำซุปเข้มข้น หากจะทำให้คนหยุดนิ้วและดูคอนเทนต์จะมีคนหยุดดูแน่นอน
Check List การคิดครีเอท Content
– เนื้อหาที่โพสต์เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ลูกค้าหรือไม่
– ได้คุม Mood & Tone ของชิ้นงานกราฟิกหรือไม่
– ภาษาที่ใช้สื่อสารเข้าใจง่ายหรือเปล่า
– สื่อสารความใกล้ชิดกับลูกค้ามากน้อยแค่ไหน
ตั้ง Headline ให้หยุดที่โพสต์เรา
Headline เป็นอีกสิ่งที่จะทำให้คอนเทนต์เป็นที่สนใจ ชวนให้คนหยุดดูหยุดอ่านโพสต์ การตั้งเฮดไลน์ที่จะหยุดนิ้วไม่ให้เลื่อนผ่านเราไป คุณโซอี้บอกไว้ว่าประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ‘รูปต้องน่าล่อ หัวข้อต้องน่าไลก์’รูปภาพคือ Context น่าสนใจ หัวข้อหรือเฮดไลน์ คือส่วนหนึ่งของ Content
แล้วจะตั้งเฮดไลน์อย่างไรให้ดึงดูดใจ คุณโซอี้เผยเคล็ดลับที่ใครก็สามารถนำไปต่อยอดได้ ด้วย ‘5 การทำ Headline ให้น่าสนใจ’
1. ตัวเลข…ทรงพลัง เธออธิบายว่าการเขียนหัวข้อต้องมีตัวเลขเสมอ เพราะตัวเลขเป็นเมจิกคัลให้คนหยุดอ่านได้ ยกตัวอย่าง ชื่อหนังสือเบสท์เซลเลอร์ของคุณโซอี้คือ แอบทำ 1 ชั่วโมงฝันเปลี่ยน เป็นต้น หรือหากสังเกตปกนิตยสารหรือเพจต่าง ๆ ก็จะเขียนหัวข้อด้วยตัวเลข เช่น 3 เทคนิคออกกำลังยังไงให้ต้นขาเรียวใน 5 นาที, 4 วิธีซื้อโฆษณาเฟซบุ๊กยังไงให้ราคาต่ำที่สุด, 4 ท่าปั้นซิกแพคหุ่นปังแน่นอน, 3 วิธีเคล็ดลับหน้าใสใจละลาย, 7 อาชีพสุดปังช่วงโควิด-19 ฯลฯ
2. คำถาม ? การเขียนหัวข้อให้เป็นประโยคคำถาม ด้วยคำว่า ทำไม อะไร อย่างไร ช่วยทำให้คอนเทนต์มีลักษณะคล้ายกับบทความแนว How-To ซึ่งคนชอบอ่านและแชร์ เพื่อเก็บเอาไว้ทำตาม เช่น 3 เรื่องน่ารู้ ทำไมค่าโฆษณาเฟซบุ๊กแพง ?, 5 วิธีทำอย่างไรไม่ให้มี‘หนี้ ?, 3 ขั้นตอน ทำอย่างไรให้ประหยัดไฟ ?, 3 เคล็ดลับ ทำอย่างไรให้สามีไม่มีบ้านเล็ก ? เป็นต้น
3. เปลี่ยน… เป็น… การเขียนหัวข้อแบบนี้ก็คล้ายกับ How-To เช่นกัน เป็นต้นว่า 2 เทคนิคเปลี่ยนหน้าพัง เป็นหน้าปัง !
เปลี่ยนหุ่นหมีให้เป็นพริตตี้, เปลี่ยนเงินทอน เป็นเงินออม, 3 ขั้นตอนเปลี่ยนสาววัย 30 กลับมาเป็น 20 ฯลฯ
4. …ยังไงให้… ตัวอย่างในการเขียนหัวข้อรูปแบบนี้คือ 3 เทคนิคยิงโฆษณา Facebook ยังไงให้ราคาต่ำ, 4 วิธีใส่เสื้อผ้ายังไงให้ดูแพง, 3 วิธีถ่ายรูปยังไงให้แฟนดูดี เป็นต้น
5. เหตุผลที่… ตัวอย่างเช่น 3 เหตุผลที่ต้องเรียนดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งกับโซอี้, 4 เหตุผลที่ต้องเข้าสัมมนากับอายุน้อยร้อยล้าน
5 เหตุผลที่ต้องซื้อกล้อง Big Camera, 5 เหตุผลที่ทำให้หลุดจากลูกหนี้ เป็นต้น
นี่คือแนวทางในการตั้งเฮดไลน์ที่ทุกคนสามารถนำตัวอย่างไปปรับใช้กับคอนเทนต์ของตัวเองได้
ทำ Video Content ต้องใช้อุปกรณ์อะไรดี
การทำ Video Content นับว่ากำลังได้รับความนิยมอย่างมาก อย่างช่องทางเฟซบุ๊กก็จะเห็นได้ว่าเพจต่าง ๆ จะมีการโพสต์ VDO หรือไม่ Live ทางยูทูปก็มีการ Live Streaming
หากอยากเริ่มต้นทำวิดีโอคอนเทนต์เพื่อโพสต์ลงช่องทางออนไลน์ของตัวเอง ‘คุณใหญ่ ’ กฤดา เสพมงคลเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องดิจิทัลและการถ่ายภาพจาก Big Camera แนะนำไว้ให้ได้ชวนคิดตามว่า วิธีง่ายสุดคือ เล่าเรื่องของเราให้คนฟัง
ผู้คนต่างก็ชอบฟังเรื่องราว และการเล่าเรื่องราวของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
หากวันนี้คุณเพิ่งเริ่มต้นทำ VDO Content เฟซบุ๊ก ยูทูป กูรูจาก Big Camera แนะนำว่าไม่ต้องจับกลุ่ม Mass แต่ต้องเจาะเฉพาะกลุ่ม หรือ Niche Market
คอนเทนต์ต้องทำให้แตกต่าง เล่าเรื่องน่าสนใจ ไม่งั้นสิ่งที่จะเจอคือไปไม่รอด ถ้า SMEs ไม่เล่าเรื่องตัวเอง แบรนด์ไม่เกิด คนส่วนใหญ่ดูวิดีโอเพื่อต้องการแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง ทำอย่างไรก็ได้ทำให้เขารู้สึกว่าอยากดูวิดีโอ เพื่อตอบสนองความต้องการให้เขาได้ แล้วผลลัพธ์ที่จะได้กลับมาก็ย่อมทำให้ขายสินค้าหรือบริการได้
ถึงอย่างนั้น คุณใหญ่ยังแนะนำว่า ไม่ว่าทำสาขาอาชีพอะไรก็สามารถสร้างรายได้จากการทำวิดีโอคอนเทนต์ หรือการ Live Streaming ได้ โดยไม่ต้องขายโปรดักส์
ทุกวันพุธ 21.00 น. คุณใหญ่จะมีจัดรายการ ‘คุยกันใหญ่’ ซึ่งเป็นรายการที่กูรูเรื่องกล้อง 4 คนมานั่งสนทนากัน (แต่ละคนก็ Live จากที่บ้านของตัวเอง) แต่ไม่ได้มาขายกล้องดิจิทัล ซึ่งถ้าคุณเชี่ยวชาญเรื่องใด ไม่จำเป็นต้องขายโปรดักส์ เพียงให้คำแนะนำก็สามารถสร้างรายได้
แว่วว่าแต่ละคนมีรายได้ 6 หลักต่อเดือน เดือนหนึ่ง Live 4 ครั้ง สิ่งที่ได้คือเจ้าของแบรนด์เข้ามาเป็นสปอนเซอร์รายการ
แน่นอนว่าในฐานะที่คุณให้เป็นกูรูด้านกล้องดิจิทัล จึงมักจะมีคนขอคำปรึกษาเรื่องกล้องดิจิทัลและอุปกรณ์เพื่อทำ VDO Content อยู่บ่อยครั้ง และเขาก็ให้คำแนะนำไว้ดังนี้
อย่างแรก ถ้าจะซื้อกล้องสำหรับทำ VDO Content ควรมีสเปคตามนี้
1. ถ่าย VDO 4K 30p หรืออย่างน้อย Full HD 60p ได้
2. มีช่องต่อไมโครโฟนนอก
3. หน้าจอต้องกางออกมาได้
4. มี Face Detection ฟังก์ชันที่กล้องโฟกัสใบหน้าตลอดเวลาการถ่ายวิดีโอ
5. มี Clean HDMI สำหรับการ Live Streaming สามารถส่งสัญญาณออกมา โดยตัด Info ต่าง ๆ ที่ปรากฏในกล้องออก
6. แบตเตอรีทน ต่อไปนอกได้ ปัจจุบันกล้องดิจิทัลหลายรุ่นสามารถต่อกับ Power Bank ได้
สำหรับ อุปกรณ์ที่เพิ่มเติมที่ต้องมี
อย่างแรก เพื่อให้การทำ VDO นิ่ง ไม่สั่นไหว หรือสามารถ Live ได้ยาวนาน เรื่อง Stabilize VDO ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการทำให้วิดีโอไม่สั่นไหว ควรต้องใช้ ‘ขาตั้งกล้อง’ (Tripod) สำหรับงานวิดีโอ แนะนำให้ใช้แบบหัวแพน หรือหากมีการเคลื่อนที่ เดินถ่ายไปด้วยก็ให้เลือกใช้ Gimbal ไม้กันสั่น
นอกจากการเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้ว การจัดมุมกล้องเป็นสิ่งที่ต้องนึกถึงด้วย เพราะมีส่วนกับการเล่าเรื่องหรือไลฟ์ขายสินค้าเช่นกัน แนะนำว่าวางกล้องในมุม Low Angle Shot หรือมุมต่ำหรือเสยกล้องขึ้น ซึ่งทำให้คนที่อยู่ในวิดีโอดูมีพลัง คำพูดดูมีน้ำหนัก หรือหากเป็น Straight Angle Shot มุมมองปกติหรือมุมตรงก็ได้เช่นกัน เพราะทำให้คนดูรับชมอย่างสบาย ๆ
แต่หากจะ Live มุมกล้องที่ห้ามเด็ดขาดคือ High Angle Shot มุมสูงหรือมุมกดจะดูต้อยต่ำ เพราะทำให้คนในวิดีโอ ดูต่ำต้อยและไม่มีพลัง
ในเรื่องของการถ่ายภาพ การมีแสงสว่างที่พอเหมาะก็จะทำให้ภาพออกมาสวยงามน่าชม หากการถ่ายหรือ Live อยู่ในห้อง ย่อมทำให้แสงธรรมชาติไม่เพียงพอ การจัดแสงจึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน ฉะนั้นควรจะต้องมี Lighting System
หลักในการจัดไฟควรมีไฟ 2 ดวง ซึ่งทฤษฎีการจัดแสง เมื่อมีแสงก็ต้องมีเงา การจัดไฟ 2 ดวงจึงช่วยลบเงาได้ โดยเทคนิคการจัดแสง สำหรับถ่ายบุคคล สายบิวตี้บล็อกเกอร์ควรจัดแสงแบบ Butterfly Lighting ซึ่งจะทำให้แสงสว่างทั่วใบหน้า และไม่มีเงา
หากเป็นการถ่ายอาหารหรือโปรดักส์ มีการจัดแสงที่นิยมอยู่ 2 แบบคือ Side Light แสงเข้าทางด้านข้างวัตถุ และ Back Light แสงเข้าทางด้านหลังวัตถุ
มีภาพแล้ว ก็ต้องมี ‘เสียง’ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในงานวิดีโอ คอนเทนต์
ภาพดีมีคนดูแน่นอน ถ้าภาพไม่ดี แต่เสียงชัด คนก็ยังอาจจะดูอยู่ ทว่าหากภาพดีแต่เสียงไม่มีคุณภาพ แบบนี้คนไม่ดูแน่นอน การมี Microphone จึงมีผลอย่างมาก
ไมโครโฟนในงานวิดีโอก็มีหลายรูปแบบ มีข้อดีข้อด้อยที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการใช้งาน
ไม่ว่าจะเป็น handheld Dynamic Microphot ข้อดีคือเป็นไมโครโฟนที่ไม่ไวต่อการรับเสียงนัก ต้องเอามาจ่อที่ปาก นั่นจึงทำให้ไม่มีเสียงรบกวนเข้ามา สังเกตว่านักข่าวยืนรายงานอยู่ริมถนน เสียงพูดก็ยังดังชัดเจน
ยังมี Lavalier Microphone รวมไปถึง Wireless Microphone ซึ่งทั้งสองแบบเป็นไมโครโฟนสำหรับติดตัวผู้พูด ข้อดีคือเสียงพูดดังชัด ผู้พูดสามารถพูดขณะเคลื่อนที่ได้ด้วย แต่ทั้งนี้บางสถานการณ์อาจจะไม่สามารถนำไปติดตัวผู้พูดได้ เช่น งานเปิดตัวสินค้า เป็นต้น
Shotgun Microphone เป็นไมโครโฟนที่รับเสียงตามทิศทาง หันไมโครโฟนไปทางไหนก็รับเสียงทางนั้น ถ้าเปลี่ยนระยะเสียงลดลง แต่ก็สะดวกกับการถ่ายทำขณะเคลื่อนที่
นอกจากเสียงพูดของคนแล้ว เสียงประกอบอื่นก็จะช่วยให้วิดีโอ คอนเทนต์มีความเพลิดเพลินใจขึ้น ทว่าการใช้เสียงเพลงประกอบนั้น ต้องระวังเรื่องลิขสิทธิ์ ซึ่งหากยูทูบแจ้งเรื่องลิขสิทธิ์เพลง วิดีโอนั้นจะถูกลบเสียงหายเกลี้ยง หรือถ้ามีคนมาเคลมลิขสิทธิ์ก็ต้องเสียเงินให้เจ้าของลิขสิทธิ์หรือไม่ก็ต้องลบวิดีโอออก ส่วนแนวทางในการใช้เสียงเพลงที่ทั้งถูกลิขสิทธิ์และฟรี ชวนเข้าไปที่ Youtube Audio Library ซึ่งจะมีเพลงและเสียงเอฟเฟกต์ให้สามารถใช้งานอย่างมากมาย
นอกจากนั้น หากต้องการ Live Streaming อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Capture Card อุปกรณ์ส่งสัญญาณภาพจากกล้องสู่คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน
อีกท้ัง ยังต้องมีโปรแกรมสำหรับ Live ซึ่งที่นิยมใช้งานกัน ได้แก่ Wirecast โปรแกรมที่สถานีโทรทัศน์นิยมใช้สำหรับออกอากาศ แต่มีค่าไลเซนเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาทต่อปีต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือจะเป็นโปรแกรม Streamyard ที่ใช้งานง่ายและค่อนข้างเสถียร เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น Live Streaming มีค่าบริการ 300 บาท ต่อเดือน
แต่หากอยากใช้งานฟรี โปรแกรม OBS ตอบโจทย์ ซึ่งใช้งานได้ทั้ง IOS และ Window แถมยังมีความสามารถเทียบเท่ากับ Wirecast และมีปลั๊กอินให้เลือกดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้หลากหลาย
ทั้งหมดนี้คือคำแนะนำของคุณใหญ่ กูรูจาก Big Camera ซึ่งยังได้ทิ้งท้ายถึงลงมือทำวิดีโอ คอนเทนต์ว่า การซื้อสินค้าหรือบริการทางออนไลน์ จำเป็นจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ดังนั้นการเล่าเรื่องราวของตัวเองที่น่าสนใจ และผลิตด้วยกล้องดิจิทัลและอุปกรณ์ที่ดีย่อมมีโอกาสมากกว่าคนอื่นเสมอ
Check List การทำ VDO Content
– เนื้อหามีความน่าสนใจ
– กลุ่มคนดูต้องการ Mass หรือเฉพาะกลุ่ม
– ทำเนื้อหาให้ตอบสนองกลุ่มคนดู
– เลือกวิธีการนำเสนอให้น่าสนใจ
– เนื้อหาไม่ควรนานหรือมากเกินไป
– จัดสัดส่วนให้พอดี มีความกระชับ
– ระวังเรื่องลิขสิทธิ์