จะขายของออนไลน์จะขายอะไรก็ขายได้ ถ้ารู้วิธีการที่จะทำให้แบรนด์ของเรายั่งยืน สามารถทำได้หลากหลายวิธีโดยเฉพาะเรื่องของ Digital Marketing ที่จะเป็นตัวช่วยทั้งเรื่องของการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการ และเวลาที่เขาต้องการ เขาต้องค้นหาเราเจอ
การขายของออนไลน์ คือ การนำสินค้าของผู้ขายของไปวางจำหน่ายตาม Website, Marketplace ภายในโลกไซเบอร์ หรือโลกอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการค้าขาย
ร้านค้าออนไลน์ คือ รูปแบบเว็บไซต์ร้านค้า ที่มีระบบตระกร้า หรือระบบการสั่งซื้อที่สมบูรณ์ของ Online check out process ทำหน้าที่เปรียบเสมือนร้านค้าของคุณในการนำสินค้า และรายละเอียดสินค้ามาแสดง เพื่อให้เกิดการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
ระบบ E-commerce เป็นตัวกลางระหว่างร้านค้าและลูกค้า ถ้าเป็นรูปแบบเว็บไซต์จะมีกระบวนการดังนี้ 1. ลูกค้าเห็นสินค้า 2. ต่อมาเกิดการสั่งซื้อ 3. สินค้าถูกส่งใส่ตะกร้า 4. ไปหน้าจ่ายเงิน
5. ร้านค้าเริ่มขนส่ง 6. สุดท้ายสินค้าถึงมือลูกค้า แต่ถ้าเป็นการขายของบน Facebook ทุกขั้นตอนเหมือนกันแต่จะขาดแค่ขั้นตอนที่ 2 และ 3 เพราะการขายของบนแพลตฟอร์มนี้เราเรียกว่า Social commerce เป็นช่องทางที่จะปิดการขายได้ก็ต่อเมื่อ เราคุยกับลูกค้านั่นเอง
ความน่าสนใจและข้อได้เปรียบของการขายของออนไลน์
จากสถิติ ETDA สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) เปิดเผยว่า พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตคนไทยมากขึ้น โดย 1 ใน 5 ใช้เวลาซื้อของออนไลน์ แถมยังเป็นกิจกรรมยอดฮิตบนหน้าสมาร์ทโฟน 2 ปีติดต่อกัน นั่นหมายความว่า offline จะเริ่มลดลง online เริ่มมากขึ้นนั่นเอง

*ข้อมูลสถิติจาก ETDA
จากภาพด้านบนจะแสดงจำนวนชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยต่อวัน เป็น 4 เจนเนอเรชั่น ได้แก่ Baby Boomer, GenX, GenY, GenZ จำแนกตามช่วงวันทำงาน เรียนหนังสือและช่วงวันหยุด จะเห็นได้ว่า Gen Y ครองเเชมป์การใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด 4 ปีซ้อน ดังนั้นสินค้าที่เรามี ถ้าจะขาย GenY เราจะต้องให้ความสำคัญเรื่องของการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้
เหตุผลที่ผู้ประกอบการ SME ควรมีเว็บไซต์ขายของออนไลน์ของตัวเอง
ช่องทางการทำการตลาดออนไลน์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
- E-Commerce Website เมื่อลูกค้าค้นหา ต้องการสินค้าและบริการของเรา
- Social Media เป็นช่องทางกระตุ้นให้เกิดความสนใจสินค้าและบริการของเรา
แบรนด์ควรจะมีแพลตฟอร์มทั้งสองประเภท แต่ศูนย์กลางของการค้นหาจะอยู่ที่เว็บไซต์ เพราะช่องทางนี้สามารถขึ้น Google ได้ง่ายกว่า Social media และพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลสินค้าของผู้บริโภค 77% จะนิยมค้นหาจาก Google เป็นอันดับหนึ่งของโลก
เคล็ดลับการสร้างร้านค้าออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ
3 Stap การสร้างร้านค้าออนไลน์
- การเตรียมสินค้าและการจัดการ
การเตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แต่ละแบรนด์ต้องสำรวจความพร้อมพื้นฐานของตัวเอง รูปแบบของสินค้าที่เรามีเข้ากับกระแสของตลาดตอนนี้หรือไม่ ศึกษากลุ่มเป้าหมาย และรูปแบบช่องทางการขาย ลักษณะของสินค้าหรือบริการที่ขายดีต้องมีจุดเด่น สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะมีผลต่อจิตใจและสามารถกระตุ้นอารมณ์ได้ เช่น สินค้าที่จำเป็น หรือปัจจัย 4
- หลักการสร้างช่องทางการขายออนไลน์
จะเรียกหลักการเหล่านี้ว่าหลัก 3 ต. ดังนี้
- ติดตา : สร้างการจดจำและรับรู้แบรนด์ของกับลูกค้า เช่น โลโก้ ต้องมีความต่างจากคู่แข่งและมีสีสันให้น่าจดจำ
- ติดหู : สร้างสโลแกนให้ติดหู เมื่อเราจำสโลแกนได้เราก็จะจำรูปลักษณ์ของสินค้านั้น ๆ ได้ด้วย
- ติดใจ : ต้องให้ลูกค้าติดใจในบริการ หรือเมื่อเห็นสินค้าแล้วทำให้เกิดความนึกถึง หรือคิดถึงอะไรบางอย่าง
โดยหลัก 3 ต. ข้างต้นจะเป็นตัวช่วยให้วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า กลุ่มเป้าหมายที่ใช่ เพื่อเป็นการวางรากฐานให้กับแบรนด์ของเราได้ เมื่อทำการวิเคราะห์ได้แล้วจะทำให้เราจัดกลุ่มลูกค้าให้เหมาะกับแบรนด์ และสามารถแยกตามประเภทได้ดังนี้
- เพศ
- ช่วงอายุ
- อาชีพ
- ความสนใจ
- ปัญหา
- แหล่งของลูกค้า
ข้อมูลจากประเภทข้างต้น จะเป็นตัวช่วยให้แบรนด์ของเราสามารถทำ Content ให้ตรงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นด้วย
- การทำโปรโมตหรือการนำเสนอสินค้าของแบรนด์
สูตรเด็ดของการขายของออนไลน์ คือ ข้อมูลเเน่น ภาพสวย ได้ตังค์ เพราะสิ่งที่เราสามารถจูงใจลูกค้าได้นั้น ก็คือ Content โดยจะแยกเป็น 2 เรื่อง ดังนี้
- ภาพสินค้า : ต้องให้ความสำคัญกับความละเอียดของภาพ มุมที่จะโชว์สินค้าต้องหลากหลาย และต้องสื่อถึงสินค้าชิ้นนั้น ๆ
- รายละเอียด : สามารถดูตัวอย่างได้จากเว็บไซต์ขายของต่างประเทศ เพราะจะมีรายละเอียดสินค้าที่ครบทั้ง รายละเอียดสินค้าโดยย่อ, ลักษณะของสินค้า, จุดเด่นของสินค้า, เงื่อนไขการคืนสินค้าและการรับประกัน

การเลือกรูปแบบร้านค้าออนไลน์ที่จัดการง่ายสำหรับผู้ประกอบการ
พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะช่องทางไหนก็แล้วแต่ จำเป็นต้องมีช่องทางหลักเป็นของตัวเอง เช่น เว็บไซต์ และมีเครื่องมือช่องทางอื่นๆ เป็นตัวเสริมการขาย
รูปแบบร้านค้าออนไลน์ จะแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
- แบบสำเร็จรูป เป็นเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการมีเว็บไซต์ของตนเอง

- แบบเว็บเขียน เป็นเว็บไซต์ที่เราต้องเขียนโค้ดและใส่โค้ดเอง รวมถึงตั้งค่าทุกอย่างเองทั้งหมด
2. เว็บประกาศ เป็นช่องทางที่เข้าไปขายได้ตามกลุ่ม เว็บบอร์ด หรือเฟซบุ๊กส่วนตัว ควรจะเข้าไปแฝงในกลุ่ม เพื่อเข้าไปดูเทคนิคการขายของแม่ค้า
- Online Marketplace ช่องทางที่นิยมที่สุด เป็นเว็บไซต์สื่อกลางการติดต่อซื้อ – ขาย ที่รวบรวมสินค้าและร้านค้าหรือบริษัทจำนวนมาก
การสร้างเว็บไซต์ E-Commerce และแนวทางทางการออกแบบทั้งหลังร้านและหน้าร้าน
สิ่งแรกที่ต้องเตรียมขั้นพื้นฐานคือ ข้อมูล เพื่อนำไปสร้างร้านค้าออนไลน์ ตามรายละเอียดดังนี้
- ชื่อร้านค้า/Domain Name : การตั้งชื่อเว็บไซต์ต้องจำง่ายและติดหู เทคนิคการตั้งชื่อโดเมน ให้เลือกจาก Keyword สั้นๆ จำง่าย มีเอกลักษณ์ และมีความ Unique ข้อควรระวังคือ ห้ามตั้งชื่อจากชื่อ-นามสกุล
- ออกแบบหน้าร้านออนไลน์ : ธีมของร้านค้าต้องไม่ยุ่งเหยิง มีความน่าสนใจ รายละเอียดครบถ้วน และมีการอัพเดทสม่ำเสมอ
- ระบบจัดการหลังร้านค้าออนไลน์และการเงิน-การขนส่ง : มีร้านค้าออนไลน์ อยากให้ธุรกิจเราเติบโตต้องมีระบบ Order managemant ที่ดีทั้ง การจัดการระบบคลังสินค้า จะทำให้สามารถเช็คสินค้าที่ขายดีและเช็ค stock ต่าง ๆ ได้, ระบบจ่ายเงินสำคัญมาก ถ้าต้องการให้ e-commerce สมบูรณ์ ต้องมีการตัดเงินเสร็จสิ้นตาม Process ของจ่ายเงิน เพราะจะทำให้ปิดการขายง่ายขึ้น และการจัดส่งสินค้า
การทำการตลาดออนไลน์ให้โดนใจลูกค้าและสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง
การทำการตลาดเป็นขั้นตอนสุดท้าย ที่มีต้นทางมาจากการมีสินค้า แล้วนำสินค้ามาเล่าเรื่อง ต่อมาก็ต้องเป็นการทำการตลาด โดยจะแบ่งเป็น 3 วิธี ดังนี้
- SEO (Search Engine Optimization) เป็นการเพิ่มคุณภาพให้กับเว็บไซต์ เพื่อดันอันเว็บไซต์ของเราให้ติดหน้าแรก Google โดยจะทำ SEO ได้ต้องมีองค์ประกอบดังนี้
- Website : ต้องมีเว็บไซต์หลักเป็นของตัวเอง
- Content : คอนเทนต์สำคัญที่สุด ต่อให้มีช่องทางร้านค้าออนไลน์ แต่ไม่มีคอนเทนต์ที่ดี ก็ไม่สามารถทำ SEO ได้
- Share : เมื่อมีเว็บไซต์และคอนเทนต์ที่ดีแล้ว ก็จะเกิดการแชร์ออกไปเป็นอีกกระบวนการที่ไม่มีวันสิ้นสุด
การทำ SEO นอกจากจะทำให้เพื่อให้คอนเทนต์หรือสินค้าของคุณติดหน้าแรกของ Google แล้ว ยังเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และเพิ่มยอดขายอีกด้วย
- Social Media
- Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยนิยมขายสินค้าเยอะที่สุดหรือที่เรียกว่า Facebook Marketing คอนเทนต์ยังเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนี้ โดยจะต้องมีเนื้อหาขายให้น้อยลง, Post เกี่ยวกับความรู้มากขึ้น, มีเนื้อหาให้สนุก และเพิ่มไอเดียให้คอนเทนต์มากขึ้น
- Instagram แพลตฟอร์มที่มีการเล่าเรื่องผ่านภาพ แบรนด์สามารถขายหรือโปรโมตสินค้าผ่านช่องทางนี้ จำเป็นต้องมีภาพที่แชร์มีเอกลักษณ์และเรื่องราวน่าสนใจ ส่วนรายละเอียดสินค้าต้องกลมกลืนกับเรื่องราว นอกจากนี้ยังสามารถติด #hashtag บน post เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา
- Line Official Account เป็นบริการของ LINE@ กับ Official Account สามารถส่งได้ทั้งข้อมูลทั่วไป กิจกรรมทางการขายและการตลาดหรือโปรโมชั่นพิเศษไปยังลูกค้าได้ โดยจะมีลูกเล่นเยอะมาก เช่น รูปแบบ Pich Content, Stacker line, วิเคราะห์ข้อมูล แถมยังเป็นลูกเล่นที่สามารถใช้ได้ฟรี ๆ อีกด้วย
- Content Marketing การบิดประเด็นของเนื้อหาหรือการเพิ่มไอเดียใหม่ ๆ ให้คอนเทนต์ นอกจากจะไม่เป็นการขายของตรง ๆ แล้ว ยังทำให้คอนเทนต์ของสินค้าเราน่าสนใจ และเพิ่มความหลากหลายให้สินค้ามากขึ้นด้วย ตามรูปตัวอย่างดังต่อไปนี้

ดังนั้นสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จะต้องทำคือ ต้องสร้างเครือข่ายให้เป็นภาพตัวอย่างต่อไปนี้

จะเห็นได้ว่า จะมีจุดศูนย์กลางเป็นเว็บไซต์แล้วรอบ ๆ เป็นแพลตฟอร์มอื่น ๆ เราต้องสร้างคอนเทนต์ในเว็บไซต์ให้ดี ต้องกระตุ้น จูงใจคน ให้คลิกเข้ามาในหน้าเว็บไซต์ให้ได้ และต้องมีความน่าเชื่อถือ เพื่อที่จะให้เว็บไซต์ที่สร้างมีสัมพันธ์กับ Social Media ที่เรามี นอกจากนี้รู้จักเปลี่ยนวิธีการทำงาน มีการอัพเดทเทรนด์อยู่เสมอ และมีช่องทางออนไลน์เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงให้สินค้าของเรา ในหลาย ๆ ช่องทาง ธุรกิจเราถึงจะสามารถสร้างยอดขายได้อย่างยั่งยืน
ติดตามเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : อายุน้อยร้อยล้าน https://m.facebook.com/Ryounoi100lan/
Youtube : อายุน้อยร้อยล้าน http://bit.ly/2YnwtmG
IG : ryounoi100lan http://bit.ly/2UFdwKK
Line : @ryounoi100lan http://bit.ly/2Tq0oMH