เคยไหม? เมื่อทำงานไปได้สักระยะ แม้คนรอบตัวจะบอกว่าคุณเป็นคนเก่งแค่ไหน แต่คุณกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งอะไรเลยสักอย่าง และไม่คู่ควรที่จะได้รับคำชมเหล่านั้นด้วย ซึ่งความจริงแล้ว ที่คุณรู้สึกแบบนั้น อาจไม่ใช่เพราะคุณไม่เก่ง แต่อาจเป็นเพราะคุณกำลังอยู่ในระบบการทำงานที่ไม่เหมาะกับตัวเอง
ตัวอย่างเช่น May Pang นักเขียนจากเว็บไซต์ Medium และรองประธานบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 500 โดยเธอบอกว่า ในขณะที่คนทั่วไปคิดว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างบริหารจัดการลำดับความสำคัญของชีวิตได้ดีว่า ทั้งทำงานเขียน ฝึกสอน แล้วยังเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การปีนผา เล่นสกี การเดินทาง การสร้างมิตรภาพที่ดี และความสัมพันธ์ที่ดี
แต่เธอกลับสารภาพว่า เธอเกลียดการที่ต้องตื่นเช้า เพื่อพยายามสร้างนิสัยในการเขียนหรือทำสิ่งต่าง ๆ ทุกวัน เพราะแทนที่เธอจะทำได้ดี กลับพบว่า ยิ่งต้องเขียนหนังสือตอนตี 5 เธอเอาแต่จ้องหน้าจอเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยที่ไม่มีแม้แต่ประโยคเดียว แย่กว่านั้นคือ เธอเริ่มไม่พอใจงานเขียนของตัวเอง เพราะมันเหมือนกับว่าเธอต้องบังคับตัวเองให้ตื่นในเวลาที่อยากนอน และเข้านอนในเวลาที่มีความสุขที่สุดที่ควรจะตื่น
หลังจากเธอคิดทบทวนเรื่องนี้ บวกกับค้นพบว่า เธอเกิดไอเดียแล่นในการเขียนบทความ ยิ่งกว่านั้นคือ เธอสนุกกับทุกช่วงเวลาที่เขียนมันตอน 4 ทุ่ม ซึ่งปกติเลยเวลานอนของเธอไปแล้ว ตอนแรกเธอคิดว่านี่คือความบังเอิญ แต่เมื่อคืนถัดไปเธอลองเขียนบทความเวลาเดิมอีกครั้ง ก็พบว่า เธอยังคงสนุกและไอเดียแล่นเหมือนเดิม
ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่า เธอไม่ได้เกลียดการเขียน ไม่ใช่ว่าเขียนไม่ได้ แต่เป็นเพราะเธอเกลียดการฝืนบังคับตัวเองให้ตื่นเช้าเพื่อมาทำตามระบบงานนั้น ดังนั้น เพื่อให้หลุดพ้นจากความคิดด้านลบกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือใครก็ตาม หากระบบการทำงานแบบเดิมทำให้รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว ก็แค่ต้องค้นหาระบบเฉพาะที่เหมาะกับตัวเอง ซึ่งต่อไปนี้ คือ ขั้นตอนที่ May Pang ใช้เพื่อค้นหาระบบงานที่เหมาะกับตัวเอง ใครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ สามารถนำขั้นตอนเหล่านี้ไปปรับใช้เพื่อหาระบบงานของตัวเองได้
1. ค้นหา “นาฬิกาชีวิต” กับกิจกรรมที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของตัวเอง
ถ้าคุณต้องการอยู่ในระบบงานที่เหมาะสมกับตัวเอง ก็ต้องค้นหา “นาฬิกาชีวิต” กับกิจกรรมที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของตัวเองก่อน อย่าง May Pang ที่เริ่มต้นด้วยการแบ่งเวลาออกเป็นกิจกรรมประเภทต่าง ๆ อย่างกว้าง ๆ ก่อน เช่น ออกกำลังกาย, กิจกรรมสร้างสรรค์/ส่งเสริมสติปัญญา, กิจกรรมทางสังคม, งานบ้าน และการพักผ่อน
จากนั้นเธอก็ถามตัวเองว่า ถ้าเธอปล่อยให้ตัวเองทำตามใจตัวเอง เธอจะมีโอกาสทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้นเมื่อไร ซึ่งนี่สำเร็จ เธอเจอนาฬิกากิจกรรมที่เหมาะในแต่ละช่วงเวลาของตัวเอง เช่น เธอจะมีแรงกระตุ้นในการเขียนตอน 14.00 น. ทุกวัน และอีกครั้งประมาณ 20.00 น. หรืออย่างการเล่นกีฬาของเธอจะดีที่สุดระหว่าง 15.30-18.00 น. ของทุกวัน และเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการประชุมคือ ช่วงเช้าก่อนเที่ยง
2. จัดการพลังงาน และความรู้สึกของคุณ แทนจัดการเวลาของคุณ
May Pang เผยว่า ความผิดพลาดหนึ่งที่เธอเคยทำคือ การถามตัวเองว่า “การเขียนบทความต้องใช้เวลานานแค่ไหน” คำตอบคือ บทความหนึ่ง อาจใช้เวลาตั้งแต่ 30 นาที ไปจนถึง 3 สัปดาห์ ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เวลาไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความลื่นไหลของสมอง แต่เป็นพลังงานและความรู้สึกมากกว่า
ดังนั้น แทนที่จะจัดการเวลา เธอเริ่มจากการจัดการพลังงานในตัว รวมถึงยังให้ความสำคัญกับความรู้สึกของตัวเอง เช่น ถ้ามีความสุขในการเขียนที่สุดตอน 20.00 น. เธอก็จะเขียนตอนนั้น การจัดลำดับความสำคัญควรทำอะไรก่อนหลังจะเป็นประโยชน์ เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาให้พลังงานสูงสุดกับกิจกรรมที่สำคัญที่สุด

3. ค้นหาบล็อกเวลาของตัวเอง
ข้อผิดพลาดอีกอย่างที่เชื่อว่าหลายคนเคยทำแต่มักไม่ได้ผลก็คือ การพยายามทำทุกวันให้เหมือนเดิม ดังนั้น สำหรับ May Pang เธอมักจัดสรรเวลา 2 ชั่วโมงต่อวันเพื่อเขียนบทความ แต่ผลปรากฏว่า แทนที่เธอจะเขียนเสร็จภายใน 2 ชั่วโมงที่ตั้งไว้ กลายเป็นว่าเธอมักต้องการเวลาอุ่นเครื่อง และจะเริ่มทำอย่างจริงจังหลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมงแล้ว
ซึ่งก่อนที่จะพบสิ่งนี้ เธอได้ทดลองกับบล็อกเวลาต่าง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น วันละ 5 ชั่วโมง, ทำวันเต็ม, วันเว้นวัน ฯลฯ จนพบว่า วิธีที่ดีที่สุดสำหรับเธอคือ มีเวลา 2 วันสำหรับการเขียนต่อสัปดาห์ และเผื่อเวลาต่อเนื่องอย่างน้อย 4 ชั่วโมงในแต่ละวัน ดังนั้น เพื่อให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเจอระบบงานที่เหมาะกับตัวเอง การเจอ “บล็อกเวลา” ที่เหมาะสมในการทำสิ่งต่าง ๆ ของตัวเอง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
4. ตั้งรับความล้มเหลวเสมอ
คนส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นปณิธานปีใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มักคิดถึงแต่ความสำเร็จ โดยไม่ได้คิดว่าจะจัดการกับความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นอย่างไร นี่เป็นเพราะเราทุกคนมักจะมีแรงจูงใจมากที่สุดในตอนเริ่มต้นของความพยายาม ดังนั้น เมื่อมีสัญญาณแห่งความล้มเหลวเกิดขึ้น สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือ “ยอมแพ้” เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดไว้
แต่ขณะเดียวกัน หากคุณเตรียมใจให้พร้อมรับความล้มเหลว ในที่สุดคุณก็จะสามารถโผล่ออกมาจากหลุมแห่งความสิ้นหวัง และเจอหนทางสู่ความสำเร็จและยั่งยืนได้
5. กำหนดความสุข ความสนุก และช่วงเวลาสำหรับพักผ่อนในระบบของตัวเอง
สิ่งสำคัญที่มักทำให้ระบบของเราล้มเหลวก็คือ ไม่มีความยืดหยุ่นเพียงพอสำหรับเหตุการณ์ในชีวิตที่ไม่ได้วางแผนไว้ เช่น เวลาทำงานบ้าน เวลาที่ถูกรบกวนจากงานหรือเพื่อนมากเกินไป หรือแม้แต่วันที่รู้สึกสิ้นหวัง ไม่มีแรงจูงใจจะทำอะไร ซึ่งสิ่งที่ช่วยได้จริง ๆ ก็คือ ต้องกำหนดความสุข ความสนุก และช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนอย่างชัดเจน ว่าอะไรคือสิ่งที่จะช่วยเติมพลังในตัวของคุณให้มากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การดูทีวี การเข้าสังคม หรือการนอนกลางวัน
6.ระบบที่ดี จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญให้ดี
อีกหนึ่งอย่างที่มักทำให้คนเราไม่สามารถทำอะไรให้เสร็จได้ ก็คือ การต้องการทำทุกอย่างให้เสร็จ โดยที่ไม่ได้เรียงลำดับความสำคัญไว้ว่าอะไรควรทำให้เสร็จก่อนหรือหลัง เมื่อให้น้ำหนักเป้าหมายที่มีมากมายเท่ากัน แทนที่จะสำเร็จ กลายเป็นว่าไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง ดังนั้น เพื่อให้คุณทำทุกอย่างที่ต้องการให้สำเร็จเหมือนกัน ไม่ควรพยายามทำทุกอย่างในแต่ละวัน แต่ควรจัดลำดับความสำคัญว่าควรทำอะไรก่อนหลัง และต้องให้เวลามันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผลลัพธ์ของงานออกมามีประสิทธิภาพที่สุด
7. ระบบจำเป็นต้องมีการขจัดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
กุญแจสู่ความสำเร็จไม่ใช่แค่ต้องเป็นสิ่งที่คุณเต็มใจทำ แต่ยังเป็นสิ่งที่คุณเต็มใจที่จะยอมแพ้ด้วย คุณต้องเต็มใจที่จะละทิ้งสิ่งที่เป็น เพื่อให้กลายเป็นสิ่งที่คุณอยากเป็น ทุกอย่างมีโอกาส เวลา และต้นทุนพลังงาน เมื่อคุณจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำและสิ่งที่ควรทำแล้ว คุณจะต้องทบทวนอีกครั้งว่าระบบที่คุณจัดลำดับไว้นั้นจะทำให้คุณทำงานได้ดีเพียงใด จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมันไม่ได้ผล คุณจะทำอย่างไรให้ตัวเองได้ประโยชน์ที่สุด และที่สำคัญคือ คุณจะยอมละทิ้งระบบที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่
8. ให้ “เวลา” ระบบของคุณเพียงพอต่อการทำงาน
เพราะการค้นหาระบบการทำงานที่เหมาะสมไม่ได้เจอได้ในทันที แต่ต้องใช้เวลาในการค้นหา และทบทวนว่า ระบบการทำงานที่คุณเจอนั้น เหมาะกับชีวิตของคุณ และจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีจริงหรือไม่ เพราะระบบการทำงานที่ดี ควรปรับให้เหมาะสมกับลำดับความสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะการทำงาน ไลฟ์สไตล์ การทำกิจกรรม หรือแม้แต่การนอน
ดังนั้น เพื่อให้แน่ใจ คุณอาจลองกำหนดระยะเวลาในการทดลองใช้งานระบบนั้น (เช่น ลองทำงานตามระบบสัก 3 เดือน) เพราะหากมันคือระบบงานที่เหมาะสม ก็จะเป็นผลดีกับคุณ แต่หากระบบใช้งานไม่ได้ภายในเวลาที่กำหนด นั่นก็แปลว่ามันไม่เหมาะกับคุณ คุณสามารถทิ้งระบบ และลองใช้ระบบใหม่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอที่เหมาะสมได้
ที่มา :