คนรุ่นใหม่ที่มีฝัน แต่เงินทุนน้อย ปัจจุบันเขากลายเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยโบราณชื่อดัง ย่านอารีย์ เปิดร้านได้เพียง 3 เดือน ก็สร้างยอดขายถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน เขาจะมาเผยเคล็ดลับการเอาชนะใจนายทุน และเปิดอีกแง่มุมของคนที่มีทุน การจะเลือกลงทุนกับอะไรสักอย่าง จะต้องพิจารณาจากเรื่องใดบ้าง
การมีธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตนเอง คือหนึ่งในเป้าหมายของ คุณภาณุพล ดาราสุวรรณ หรือคุณบูม ชายหนุ่มที่เพิ่งเรียนจบวิทยาลัยศิลป์ ด้าน Animation ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาหมาด ๆ
หลังจากมีเป้าหมายใหม่แวบเข้ามาในหัว คุณบูมก็เริ่มหาแรงบันดาลใจในการก้าวไปสู่เป้าหมายต่อไป เขาเดินผ่านตลาด แล้วเห็นว่าพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่ในตลาด มีเงินสดหมุนเวียนเข้ากระเป๋าทุกวัน จึงตั้งใจ ว่าจะเปิดร้านอาหารเป็นของตนเอง แต่ในตอนนั้นยังเป็นเหมือนความฝันของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูจะห่างไกล เพราะในทุก ๆ วันของยังต้องอาศัยรับงานฟรีแลนซ์อยู่ และเงินทุนที่ตนเองเก็บสะสมมาก็ยังไม่มากพอที่จะเริ่มต้นทำธุรกิจใด ๆ
คุณบูมได้กลับมาเจอกับเพื่อนคนหนึ่ง คือ “คุณเบสท์” ที่เป็นเชฟอยู่ จึงลองนัดกันมาคุยเรื่องธุรกิจ ปรากฏว่าทั้ง 2 คนมองภาพไปในทางเดียวกัน อยากทำอะไรคล้าย ๆ กัน แต่ทั้งคู่ก็ทราบดีว่า การจะทำธุรกิจ ร้านอาหารสักร้านหนึ่ง มีแค่เชฟฝีมือดี และคนที่ทำสื่อได้อย่างเขาก็คงไม่เพียงพอ เพราะร้านอาหารต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งคู่จึงตกลงกันว่า จะเริ่มต้นทำแผนธุรกิจกัน โดยไม่สนใจว่าจะมีเงินทุนหรือไม่ แต่ต้องมีแผนให้พร้อมก่อน เผื่อวันหนึ่งที่มีโอกาสเข้ามา ทั้งคู่จะได้พร้อมต่อการคว้าโอกาสนั้น
ความฝันของชายหนุ่ม 2 คนถูกร่างออกมาใหญ่โตลงบนกระดาษ ก่อนจะถูกลบทิ้ง และแก้ไขมากว่า 30 ดราฟ และคุณบูมมักหาเวลาว่างจากการทำงานฟรีแลนซ์ไปหาความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจเสมอ แม้แต่การไปเป็นเด็กเสิร์ฟ หรือพนักงานล้างจานใน เพื่อสังเกตการณ์การบริหารงานร้านอาหาร ส่วนในเรื่องของแผนธุรกิจ ก็มีการสมัครเข้าร่วมอบรมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่ให้การสนับสนุนในเรื่องของธุรกิจ
จนคิดว่าสั่งสมประสบการณ์ และความรู้มากพอแล้ว คุณบูม และคุณเบสท์จึงตัดสินใจเช่าพื้นที่เล็ก ๆ บริเวณใต้ตึก GMM Grammy เพื่อขายอาหาร โดยลงทุนกันคนละ 25,000 บาท ขายหมูฮ้อง และแกงฮังเล ใคร ๆ ก็บอกว่าอาหารรสชาติอร่อย ลูกค้าที่เข้ามาซื้อต่างก็ติดอกติดใจ แต่ปรากฎว่าร้านไปไม่รอด เพราะขาดประสบการณ์ตรง ไม่ได้ศึกษาพื้นที่ และพฤติกรรมของผู้บริโภค ณ จุดนั้นให้ดี ว่าต้องการอะไร
เมื่อครั้งแรกล้มเหลว ทั้งคุณบูม และคุณเบสท์ จึงต้องวางแผนให้ดีกว่าเดิม จากแผนธุรกิจที่ร่างไว้กว่า 30 ดราฟ ก็ต้องมานั่งคัดกันว่า แผนไหนใช้งานได้จริง แผนไหนใช้งานไม่ได้จริง และนำมาปรับแผนใหม่ เริ่มมีการสำรวจโลเคชั่น สำรวจกำลังซื้อของผู้บริโภคในละแวกนั้น
จนวันหนึ่งก็ได้มาเจอกับกลุ่มนักลงทุน ที่เพื่อน ๆ แนะนำกันต่อมา คือ “คุณกวิน มโนนุกุล ที่กำลังมองหาธุรกิจที่มั่นคงสักอย่างในการลงทุน หลังจากติดต่อกัน 2 วัน คุณกวินก็นัดคุณบูม และคุณเบสท์ให้นำแผนงานต่าง ๆ เข้ามาคุยรายละเอียดกัน ซึ่งทั้ง 2 คน ที่ใช้เวลาเตรียมความพร้อมในการร่างแผนธุรกิจมากว่า 1 ปี ก็ไม่ลังเล และพร้อมเข้าไปนำเสนอให้กับนักลงทุนทันที ทั้งภาพวิเคราะห์ และตัวเลขต่าง ๆ ที่เก็บข้อมูลมาอย่างยาวนาน รวมถึงแบบร้านที่สเก็ตไว้กว่า 10 ดราฟ เรื่องทรัพยาการคนที่ต้องการ เรื่องเมนูต่าง ๆ สูตรอาหาร และต้นทุนทั้งหมด ก็เตรียมพร้อมแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเตรียมความพร้อมมากว่า 1 ปี แต่การนำเสนอกับทางนักลงทุนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคอนเซ็ปต์ของร้านที่จะทำไม่ชัดเจนพอ ในตอนแรกคุณบูมตั้งใจจะทำร้านอาหารเหนือ เป็นอาหารพื้นเมือง แต่ก็นำเสนอไม่ผ่าน รวมถึงในขณะนั้นยังไม่มีพื้นที่ร้านที่ลงตัว
กระทั่งมาเจอพื้นที่ให้เช่าบริเวณอารีย์ซอย 1 เป็นย่านตลาดมีผู้คนพลุกพล่าน ที่สำคัญคือเป็นคนชิค ๆ ที่มีกำลังจ่ายพอสมควร แต่ค่าเช่าที่แพงมาก ซึ่งหากจะขายอาหารพื้นเมืองแบบเดิม ๆ ก็คงไปไม่รอด จึงต้องเริ่มคิดใหม่ ว่าตนเองควรจะทำร้านอะไรให้เหมาะกับโลเคชั่นที่ได้มา และการจะได้พื้นที่นั้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คุณบูมต้องนำคอนเซ็ปต์ร้าน และแผนงานที่จะทำไปนำเสนอกับทางเจ้าของที่ ซึ่งในขณะนั้นก็มีคู่แข่งอยู่มากพอสมควร
คุณบูมจึงกลับมาที่โปรเจ็ค ที่เคยคิดเอาไว้ นั่นก็คือร้านอาหารไทยโบราณ ตั้งใจว่าอยากขายคุณค่าของอาหาร ขายประสบการณ์ ให้ลูกค้าได้เรียนรู้อะไรมากกว่าแค่การทานอาหาร จึงเริ่มศึกษาว่าอาหารไทยมีกี่แบบ จนมาสะดุดในในอาหารไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มเปิดรับชาวต่างชาติให้เข้ามาค้าขายในสยามประเทศ ทำให้อาหารในสมัยนั้นมีความฟิวชั่น และน่าสนใจอยู่ในตัวเอง จึงตั้งใจจะนำอาหารในสมัยนั้น มาให้คนสมัยนี้ได้ดื่มด่ำไปกับมัน ทั้งในแง่ของรสชาติ และประวัติศาสตร์ที่งดงาม
คุณบูม และคุณเบสท์จึงเริ่มหาสูตรอาหารไทยโบราณจากหนังสือในหอสมุดแห่งชาติ และศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์จากพงศวดาลต่าง ๆ และนำสูตรอาหารนั้น ๆ มาปรับรูปร่าง ปรับส่วนผสมให้เข้ากับความต้องการของคนสมัยใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของอาหารตามตำหรับโบราณไว้
เมื่อได้คอนเซ็ปต์ที่ลงตัว จึงนำไปเสนอให้กับทางเจ้าของพื้นที่ ซึ่งทางเจ้าของพื้นที่ก็ชื่นชอบในไอดียที่ทั้งคู่นำเสนอ คุณป้าเจ้าของพื้นที่บอกว่า พื้นที่ตรงนี้แต่เดิมเคยเป็นที่ประทับของพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๕ สถานที่ และคอนเซ็ปต์ที่จะนำเสนอจึงลงตัวกันพอดี จึงปล่อยให้เช่า และลดราคาค่าเช่าให้อีกด้วย จากนั้นจึงนำเสนอขายกับทางคุณกวิน ซึ่งก็ต้องใช้เวลานำเสนอกว่า 10 ครั้งกว่าจะผ่าน ทั้งในเรื่องของแผนธุรกิจ เรื่องเมนู เรื่องรูปแบบร้าน เมื่อทุกอย่าลงตัวก็ได้รับไฟเขียวจากนักลงทุนให้เริ่มทำร้านเบญจมาศได้
ร้านเบญจมาศได้ผลตอบรับดีเกินคาด ทำให้ทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันมาได้หายเหนื่อย เพียงแค่เวลา 3 เดือนที่เปิดร้านมา ร้านเบญจมาศก็เติบโต ขยายเวลาเปิดทำการ จากเปิดให้ทานแค่ช่วงกลางวัน ก็ขยายเวลาไปจนถึง 4 ทุ่ม มีเพจรีวิวอาหารมาติดต่อขอรีวิวเองกว่า 30 เจ้า และสร้างยอดขายได้ถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน
คุณบูมบอกว่า ทุกอย่างเกิดจากการเตรียมตัวให้พร้อม เมื่อโอกาสมาถึงเขาก็พร้อมจะคว้าโอกาสได้ทันที หากย้อนเวลากลับไปในวันที่เจอนักลงทุน แต่เขาไม่ได้มีการเตรียมตัวมาก่อนเป็นปี ๆ ก็คงไม่สามารถคว้าโอกาสนั้นมาได้อย่างทุกวันนี้
ติดตามช่องทางอื่นๆ ของอายุน้อยร้อยล้านได้ที่
Facbook : อายุน้อยร้อยล้าน Youtube : อายุน้อยร้อยล้าน IG IGTV : ryounoi100lanLine : @ryounoi100lanSoundcloud :