ย้อนรอย “นันยาง” ตำนานความเก๋าชมากกว่า 60 ปี แบรนด์รองเท้าเดียวที่คนใส่อยากให้รีบ “เก่า” ไวๆ

1008

รองเท้าที่คนใส่อยากให้เก่าไวๆ… เชื่อว่าในช่วงชีวิตวัยเรียนที่ผ่านมาคงไม่มีใครไม่รู้จัก “นันยาง” ถึงจะไม่ได้ใช้เองก็คงเห็นผ่านตาจากเพื่อนๆ รอบตัวในวัยเรียนด้วยกันอย่างแน่นอน นอกจากนี้เวลาซื้อรองเท้าใหม่ ใครๆ ก็จะดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่รองเท้านันยางกลับเป็นแบรนด์เดียวที่คนใส่อยากจะให้เก่าไวๆ วันนี้จะพามาทำความรู้จัก “นันยาง” ตำนานรองเท้าที่อยู่คู่คนไทยมามากกว่า 60 ปี ให้มากยิ่งขึ้น 

นันยาง รองเท้าผ้าใบที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเรียน แบบที่แทบทุกโรงเรียนจะต้องมีคนสวมใส่รองเท้ายี่ห้องนี้เกินครึ่ง โดยที่จุดเด่นของรองเท้านันยางนั้นคือความทนทาน ยืดหยุ่นสูง และราคาประหยัด นอกจากนี้ก็มีสินค้าอีกหนึ่งอย่างที่ดังไม่แพ้กัน นั่นก็คือ รองเท้าแตะตราช้างดาว ที่สมัยก่อนคนนิยมเรียกชื่อสินค้าตามโลโก้มากกว่าชื่อแบรนด์ ซึ่งที่รองเท้าแตะนั้นมีโลโก้ของนันยางที่เป็นรูปช้างอยู่ในดาว 6 แฉก จึงเป็นที่มาของ รองเท้าแตะช้างดาว นั่นเอง

จุดเริ่มต้นนั้นมาจากปี 2496 คุณวิชัย ซอโสตถิกุล หนุ่มเชื้อสายจีนที่อพยพเข้ามาอาศัยในประเทศไทย ทำงานเป็นลูกจ้าง เก็บเงิน จนสามารถเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ได้เกิดไอเดียที่จะติดต่อขอนำแบรนด์รองเท้านันยาง ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศสิงคโปร์ เข้ามาผลิตในไทย เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยเองมียางพาราเป็นสินค้าเศรษฐกิจอันดับต้นๆ แถมมีตลาดที่รองรับสินค้าตัวนี้ให้เติบโตได้ในอนาคต และแน่นอนว่าเขาอ่านเกมขาด รองเท้านันยางกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มคนที่ต้องใช้รองเท้าอย่างสมบุกสมบัน ไม่ว่าจะเป็น ชาวไร่ ชาวสวน คนงาน หรือคนที่ต้องเดินทางไกลๆ

ต่อมาในปี 2500 ทายารุ่นที่ 2 ของตระกูล ได้รับตำแหน่งนายกสมาคมแบดมินตัน จึงได้ปรับเปลี่ยนรองเท้านันยางให้มีความเหมาะสมต่อการใส่เล่นแบดมินตันให้มากขึ้น มีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปทรงรวมไปถึงพื้นรองเท้าให้มีสีเขียวเหมือนกับรองเท้าแบดมินตันในยุคนั้น กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นันยางกลายเป็น “รองเท้าพื้นเขียว” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ปี 2515 นันยางมองเห็นโอกาสเติบโตในกลุ่มตลาดใหม่ นั่นก็คือนักเรียน เพราะเป็นตลาดที่มีสัดส่วนมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรในประเทศ และมีจำนวนคงที่ในทุกปี แถมเป็นกลุ่มที่ต้องการรองเท้าที่ทนทาน และมีหน้าตาที่เหมือนกัน ซึ่งตรงกันกับตัวตนของ นันยาง อย่างมาก หลังจากนั้นนันยางจึงหันไปให้ความสนใจและเน้นทำการตลาดในกลุ่มนักเรียนมากขึ้น

แต่ด้วยคุณภาพที่ดีก็ยังทำให้นันยางได้รับความนิยมในคนกลุ่มอื่นอีกเช่นกัน นั่นก็คือนักกีฬาตะกร้อที่ต้องการรองเท้าที่สามารถยึดเกาะพื้นได้ดี แถมยังดังไกลไปถึงนักกีฬาเพื่อนบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีการทำการตลาดในประเทศต่างๆ รอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ บังคลาเทศ ปากีสถาน เป็นต้น โดยที่อินโดนีเซียนั้นได้ใช้รองเท้านันยางเป็นรองเท้าสำหรับนักเรียนเช่นเดียวกันกับไทยอีกด้วย

ผ่านไปแล้วกว่า 68 ปี ที่แบรนด์นันยางนั้นอยู่ในตลาดมาได้โดยไม่มีการวางขายบนห้างสรรพสินค้า และไม่มีจำเป็นต้องมีพรีเซนเตอร์อาจเพราะภาพลักษณ์ของสินค้าถูกส่งต่อผ่านกลุ่มนักเรียนผู้ใช้งานจริงได้อย่างชัดเจนในตัวของพวกเขาอยู่แล้ว เห็นจากรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายปีล่าสุด 2563 อยู่ที่ 1,297 ล้านบาท แถมยังได้รับรางวัล Marketing of The Year ในปี2562 จากผลงานการออกสินค้ารุ่น “นันยางเรด” หรือ “Nanyang RED limited edition 2019” ซึ่งเป็นรองเท้าผ้าใบสีแดงพร้อมเชือกรองเท้าสีขาวและแดง ฉีกกฎความเป็นนันยางที่เคยเป็น อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่ไม่เสียเงินในการลงสื่อโฆษณาใดๆ เพราะได้ฟรีจากกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น เป็นตัวอย่างที่ดีของการทำแบรนด์ที่ไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก หรือต้องมีสินค้าหลายรายการ ก็สามารถทำการตลาดให้แบรนด์ประสบความสำเร็จมาได้อย่างยาวนาน

การที่นันยางประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ มาจากความจงรักภักดีที่ลูกค้ามีให้กับแบรนด์ ที่แทบจะไม่เปลี่ยนใจไปใช้แบรนด์อื่น จากความชอบของรุ่นพ่อ ส่งต่อสู่รุ่นลูก และรุ่นหลาน ไปอย่างอัตโนมัติ ทั้งนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับไอเดียการทำการตลาดและคุณภาพของสินค้าที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยลดลง ยิ่งใช้ไปนานก็ยิ่งมั่นใจในประสิทธิภาพ แถมยิ่งใส่ให้เก่า หรือยิ่งขาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูกใจคนใส่มากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ไหนใครเป็นสาวกแบรนด์นี้และชอบใส่ไปทำอะไรบ้าง แสดงตัวหน่อย 🙋🏻‍♂️🙋🏻🙋🏻‍♀️

ขอบคุณรูปภาพจากเพจ นันยาง

ที่มา : https://bit.ly/3ndl3kC
https://bit.ly/3CmyRNL
https://bit.ly/3CdbG8B