Online Platform และการเป็น Influencer มือโปร และวิธีการบริหารแคมเปญร่วมกับแบรนด์สินค้า

2388

คอนเทนต์ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในปีนี้คงจะเป็นรูปแบบของ Video โดยมีหลายช่องทางที่นิยมเผยแพร่ทั้ง Facebook, Instagram, Twitter หรือจะเป็นแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ อย่าง Youtube  และไม่น่าเชื่อว่าทุกช่องทางสามารถทำรายได้ให้คุณได้ ถ้าคอนเทนต์ของคุณนั้นตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหรือผู้บริโภคได้ดี โดยบทความนี้ คุณปู สุวิตา จรัญวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เทลสกอร์ นำเสนอถึงกลยุทธิ์และเคล็ดลับ Online marketing ที่เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ มีโอกาสปิดยอดขายได้อย่างที่ตั้งใจไว้ และมีเคล็ดลับการทำคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์กับแพลตฟอร์มที่มี search engine ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก Google อย่าง Youtube

เทคนิคการสร้าง Video Content ของ Youtube Channel ขั้นพื้นฐาน

  1. การสร้าง Youtube Channel: ควรสร้างให้เป็นธีมเดียวกัน เช่น ช่องของเราเป็นช่องที่ให้ความรู้เรื่องการท่องเที่ยวคนเดียว หรือจะเป็นช่องรีวิวอาหารคลีน เป็นต้น จนแบรนด์หรือช่องของเราเกิด Personal Branding ทำให้ช่องของเราสามารถเติบโตไปพร้อมกับผู้ชมได้ทุกปี
  2. ต้องเรียนรู้ผู้ชม: เป็นการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม เพราะเราจะได้ทราบว่าผู้ชม หรือกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เราเป็นใคร และทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น
  3. ศึกษาคู่แข่ง เพื่อสร้างความต่าง: ควรศึกษาคู่แข่งที่มีแนวคอนเทนต์เหมือนกับเรา เพราะความแตกต่างจะทำให้เราสามารถพัฒนาแบรนด์ของเราได้
  4. พูดคุยกับผู้ชม: เมื่อเรามีการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมของผู้ชมแล้ว จากนั้นเราต้องมีการพูดคุยกับผู้ชมแบรนด์ของเราด้วย โดยการกดไลค์ ตอบคอมเมนต์ ซึ่งจะทำให้แบรนด์ของเรามีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด
  5. ใส่ใจรายละเอียดของการสร้างแบรนด์: รายละเอียดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น cover, ข้อมูลของแบรนด์ ต้องกรอก Profile ให้ครบ รวมทั้งทำหน้าปกของคลิป (Thumbnail) ให้ดูดี เพราะเป็นภาพลักษณ์ของแบรนด์เรา
  6. โปรโมต video บนช่องทางโซเชียลอื่นของคุณ: อย่าลืมแชร์ Link วิดีโอบนช่องทางอื่น ๆ เช่น Facebook, Line, Twitter เป็นต้น
  7. เริ่มต้นใช้ Youtube Card: เป็นการสร้างปุ่มที่สามารถให้คนคลิกเข้าไปอ่านต่อในช่องทางอื่น ๆ เช่น Website หรือวิดีโออื่นของคุณได้, อาจจะคลิกเข้าไปสั่งซื้อ หรือสร้างโพลล์สำรวจความคิดเห็นของผู้ชมก็ได้
  8. ควรทำ SEO (Search Engine Optimization): ตรงนี้จะให้ความสำคัญ Keyword ไปที่ชื่อวิดีโอ เพื่อเพิ่มจำนวนคนเข้ามาดูแบรนด์ของเรา และช่วยให้แบรนด์ของเราได้รับการจัดลำดับในอันดับที่ดีขึ้น
  9. ใส่ #hashtag ที่ Video description: Hashtag เปรียบเสมือนเป็นคำค้นหาหลัก หรือที่เรียกกันว่าคีย์เวิร์ด และต้องสั้น กระชับ อ่านแล้วได้ใจความ จะช่วยให้ผู้บริโภคหาแบรนด์เราเจอ
  10. อย่าลืมจัด Playlist: จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาใน YouTube Channel นั้นค้นหาหรือเลือกชมคอนเทนต์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
  11. แปล Subtitles เป็นหลาย ๆ ภาษา: นอกจะช่วยให้เข้าใจภาษาอื่น ๆ หรือช่วยให้ฟังคนพูดทันแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย เช่น ถ้าเป็น Subtitle ของ Facebook จะช่วยให้เรารู้ว่าคนที่กำลังพูดอยู่ พูดอะไร เพราะ autoplay บน Facebook จะไม่มีเสียง บางทีเราอาจจะดูวิดีโอจนจบคลิปทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เปิดเสียงก็ได้
  12. Collaborate ร่วมกับ Influencer/Youtuber อื่น ๆ: เป็นอีกหนึ่งไอเดียอาจจะเป็นตัวเพิ่มให้วิดีโอของคุณมียอดวิวที่สูงขึ้นด้วย
  13. Youtube Ads: สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ และช่วยสร้าง Brand Awareness ทำให้แบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
  14. ศึกษา Analytics และปรับปรุง: สามารถดูได้จากหลังบ้านของ Youtube เพื่อให้เราดูว่าสิ่งใดที่ให้ผลดีและสิ่งใดที่ไม่ให้ผลดี ค้นหาว่าใครกำลังดูอยู่ พวกเขาชอบดูอะไร และวิดีโอใดที่จะสร้างรายได้ให้คุณได้
  15. ศึกษา Youtube video specifications ให้ดี: เป็นขนาดและรายละเอียดของวิดีโอ จำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้ขนาดของวิดีโอของเราเหมาะกับแพลตฟอร์มนั้น ๆ
*ขนาดของวิดีโอที่เราดูบน Social Network

ทั้งหมดข้างต้นนี้จำเป็นอย่างมาก สำหรับคนที่กำลังเริ่มจะทำคอนเทนต์หรือเป็น YouTuber นอกจากจะเป็นกระบวนการให้เราทำคอนเทนต์ได้ตามลำดับขั้นตอนแล้ว ยังสามารถเข้าถึง Algoritm ของ google ด้วย เพราะ google เป็นช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมค้นหามากที่สุดในโลก โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญกับการตลาดและแบรนด์ของคุณทั้งสิ้น

การทำ SEO (Search Engine Optimization) ของ Youtube Channel

อย่างที่กล่าวข้างต้นว่า Youtube เป็น Search engine ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก Google ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ผู้ชมเสพคอนเทนต์แทบทุกวันผ่านช่องทางนี้ โดยข้อดีของการทำ SEO ถือว่าเป็นการปรับแต่งข้อมูลในวิดีโอของคุณ จะช่วยให้ผู้ชมมีโอกาสค้นหาคลิปของเราเจอได้ง่าย สามารถเพิ่มผู้ติดตามและเพิ่มวิวได้แบบไม่เสียเงิน ก่อนที่จะเรียนรู้กระบวนการของการทำ SEO นั่น เราต้องรู้รายละเอียดกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของ Youtube และการมีส่วนร่วมของผู้ชมด้วย เช่น

  • Keyword in Titles: การตั้งชื่อหัวข้อ ควรมี Keyword ที่น่าสนใจ อ่านแล้วรู้สึกว้าว และอยากคลิกดู
  • Descriptions: การเขียนคำอธิบายเรื่องย่อในวิดีโอ ควรเขียน 2-3 บรรทัด หรือไม่ควรเกิน 5,000 คำ และควรเขียนบรรยายโดยเพิ่ม Keywords เข้าไปด้วย
  • Subtitles: นอกจากจะช่วยให้คนดูวิดีโอของเราแบบปิดเสียงได้แล้วนั้น ยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการค้นหาได้เช่นกัน
  • Tags: จะช่วยในเรื่องของการจัดหมวดหมู่ โดยควรใช้ 10-12 Tags ก็พอ และไม่ควรใส่แท็กที่นอกเหนือจากคลิปวิดีโอ
  • Thumbnail: การสร้างหน้าปกที่น่าสนใจและให้ผู้ชมเห็นแล้วน่าคลิก อาจจะเป็นเชิงคำถาม หรือมี Keyword อยู่บนหน้าปกก็ได้ ถือว่าเป็นการเพิ่มการเข้าถึงช่องเราได้ดี
  • Playlist: เป็นการแบ่งหมวดหมู่ให้วิดีโอ จะสะดวกต่อการคลิกดูคลิปต่อไปง่าย ๆ
  • Number of views (จำนวนผู้ชม): ถ้า VDO มีจำนวนคนวิวเยอะ ๆ ก็มีโอกาสที่จะทำให้คลิปมีอันดับที่ดี แต่ต้องเป็นวิวคุณภาพเท่านั้น
  • Audience Retention (การรักษาผู้ชม): เป็นข้อมูลว่าผู้ชมอยู่กับคลิปเรานานแค่ไหน ทำให้เราสามารถนำข้อมูลตรงนี้ไปปรับปรุงไอเดียในการตัดต่อคลิปได้
  • Comments & Shares: จะส่งผลต่อการจัดอันดับวิดีโอให้ดีขึ้น ถือว่าเป็นวิดีโอที่มีคุณภาพมีการชื่นชอบและบอกต่อไปยังที่อื่น ๆ
  • Reactions: เป็นการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้ จะทำให้เราได้ไอเดียใหม่ ๆ ในการทำคอนเทนต์ ที่ตอบสนองต่ออารมณ์ต่าง ๆ
  • Channel Strength: ข้อมูล เช่น about us ช่องต้องครบ
*ข้อกำหนดฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของ Youtube

เครื่องมือเสริมสำหรับการทำ SEO ของ Youtube Channel

Keyword Tool

เว็บไซต์ keywordtool.io เครื่องมือตัวนี้ เป็นเว็บไซต์สุดยอดโปรแกรมค้นหา Keyword สามารถใช้ในการหาคำค้นหาคีย์หลัก คีย์รอง เพื่อที่จะสร้าง Tags คำเกี่ยวข้อง เพื่อสร้างอันดับในการค้นหาของ Youtube ข้อดี คือมีภาษาไทยสำหรับการค้นหาได้ และฟรีอีกด้วย

การเป็น Influencer

Influencer คือคนที่ผู้บริโภคชื่นชอบและติดตามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมยังมีอิทธิพลในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความอยากรู้ อยากลอง จนไปถึงการตัดสินใจซื้อสินค้า จึงเกิดเป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า Influencer Marketing โดยการจะเป็น Influencer ที่ดีต้องมีความรับผิดชอบในความคิดเห็นตนเอง ไม่ยั่วยุปลุกปั่น ไม่กระจายข่าวลวงด้วยเช่นกัน

  1. Types of Influencers สามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

2. Categorizing influencers  สามารถจัดหมวดหมู่ตามขนาดผู้ติดตามดังนี้

การบริหารโปรเจกต์ หรือแคมเปญร่วมกับแบรนด์สินค้า ลูกค้าต่าง ๆ

  1. วิธีที่แบรนด์คัดเลือก Youtuber, Influencer ให้เหมาะกับแบรนด์สินค้า มีดังนี้

2. การบริหารแคมเปญโดยใช้ Software Marketing Automation เข้ามาช่วย จะทำให้เราได้ทราบ ดังนี้

  • ใช้ Big Data เพื่อดูประวัติการทํางาน และข้อมูลความสามารถ
  • เห็นตัวเลขคาดการผลลัพธ์ล่วงหน้า เห็นก่อนการจ้างงาน ช่วยให้มั่นใจขึ้น
  • เลือกสายของ Influencer (สุขภาพ, ท่องเที่ยวฯ) ที่เหมาะสมกับแบรนด์ได้

และเมื่อเรามี Data ก็สามารถทำให้เราวัดผล เก็บสถิติ ของการตลาด หรือที่เรียกว่า Influencer Marketing ดังตัวอย่างปิระมิดต่อไปนี้

*ภาพ: การวัดผล Marketing Funnel
  1. จำนวนอินฟลูเอ็นเซอร์ : มีทัั้ง Macro-Influencer หรือผู้ที่มีคนติดตามจำนวนมาก หรือ Micro-Influencers กลุ่มคนตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ตัว มีจำนวน 20 คน
  2. Impressions : เป็นจำนวนที่วัดว่าคอนเทนต์ของเราถูกเสิร์ฟหรือยิงด้วย Ads ไปหากลุ่มคนกี่ครั้ง
  3. จำนวนผู้ติดตาม : เป็นสิ่งที่ช่วยตัดสินว่าช่องของเรานั้นใหญ่หรือเล็ก
  4. Video views : จำนวนการรับชม หลังจากคอนเทนต์ถูกยิงไปหาผู้ชมจริง ๆ ว่ามีคนดูเท่าไหร่
  5. จำนวนคนเห็น (ไม่ซ้ำคน) : เป็นจำนวนที่คอนเทนต์ที่เรายิงไป คนเห็นจริง ๆ อยู่เท่าไหร่
  6. จำนวนคนนำไปพูดคุยต่อ (คลิก, คอมเมนต์, แชร์) : เป็น organic share หรือเป็นการดูว่ามีคนปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์เรามากน้อยแค่ไหน
  7. Conversions ที่เป็นจำนวนคลิก , ดาวน์โหลด, Sign up, Subscribe : จำนวนที่จะทราบได้ว่าจะมีคนติดตามหรือตามไปซื้อสินค้าเราหรือไม่
  8. conversions in sale มีจำนวนคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์แล้ว ก็นำไปสู่ขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค จะทราบได้ว่าการจ้าง Influencer เหล่านี้ ทำให้มีคนตัดสินใจซื้อสินค้าของเราเท่าไหร่

Marketing Funnel เป็นส่วนสำคัญที่เราจำเป็นต้องรู้ เพื่อให้แน่ใจว่าแผนการตลาดจะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั่นเอง

ปิระมิดแห่งการโน้มน้าว และการร่วมงาน กับ Micro-Influencers

ทุกแบรนด์ทำคอนเทนต์ ทำโฆษณา การตลาดต่าง ๆ เพื่อให้เกิดสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นพื้นฐานของพฤติกรรมของผู้บริโภค ดังนี้

*วัตถุประสงค์ของการตลาด การโฆษณา

Awareness (วางช่องทางโปรโมตแบรนด์) ต้องทำให้ผู้บริโภคเปิดรับ สร้างการรับรู้ โดยอาจจะนำเสนอคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์ ต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการค้นหาคำตอบของเรื่องนั้น ๆ ให้ได้

Consideration (เสริมความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์) ต้องพิจารณาหารือกับคนในทีม และจำเป็นต้องอาศัยกลยุทธ์โน้มน้าวใจพอสมควร ก่อนอื่นต้องหาให้ได้ว่า จุดเด่นของแบรนด์คืออะไร จุดเด่นที่ว่านั้นต้องเป็นสิ่งที่แบรนด์อื่นขาดหรือไม่โดดเด่นด้านนั้น

Conversion (กระตุ้นให้ลูกค้า) เมื่อแบรนด์มีความน่าเชื่อถือและมีความโดดเด่นแล้ว ผู้บริโภคก็จะมีการลองคลิก ลองสมัคร ลองเข้ามาดูแบรนด์ของคุณ นอกจากนี้ต้องทำให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่า ที่จะเสียเงินสั่งซื้อของ หรือเสียเวลาลงทะเบียนแลกข้อมูลสำคัญกับคุณเพื่อเข้ามาดูด้วย

เมื่อแบรนด์มี 3 สิ่งดังกล่าว ผู้บริโภคก็เกิดการตัดสินใจซื้อ (Buy) สินค้าหรือซื้อไอเดียของแบรนด์ สินค้าหรือคอนเทนต์เราดีเกิดความประทับใจ ผู้บริโภก็จะเกิดการสนับสนุน (Loyalty) และจะเกิดการบอกต่อ (Advocacy) ในที่สุด

หลายคนเข้าใจผิดว่า Micro-Influencer ไปทำหน้าที่แทน Macro-Influencer แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย สองสิ่งนี้ขาดกันไม่ได้ เพราะอาจทำให้เกิดช่องว่างของการสื่อสารได้ นอกจากนี้เราจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ที่แบรนด์อยากสื่อสารออกไปด้วย การเลือก Influencer มาเป็นตัวช่วยให้แบรนด์ก็สำคัญ บุคคลเหล่านี้มีต้องมีความแตกต่าง และหลากหลาย เหมาะสมกับแบรนด์เราด้วย โดยวิธีเลือก Influencer ต้องเป็นคนที่สร้างคอนเทนต์ที่จะสื่อสารเป็น (Message), มีช่องทางโซเชียลมีเดีย (Channel) และมีคนจริงๆ อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่บอท (Authenticity) เหล่านี้จะเป็นตัวช่วยพื้นฐานในการจ้างตัวของ Influencer นั่นเอง หรือสามารถเลือกได้จากกลยุทธ์ดังนี้

กลยุทธ์ช่วงเวลา: จํานวนผู้ติดตามเป็นตัวกําหนด ทิศทางของ KPI หรือผลลัพธ์ เช่น 

  • ผู้ติดตามมาก แสดงว่า Influencer คนนั้นจะเด่นด้านการสร้างการรับรู้ (Awareness)
  • ผู้ติดตามน้อย อาจจะเด่นด้านการเข้าถึง (Engagement)

กลยุทธ์กองทัพมด: ร่วมงานกับ Influencer ที่มี ผู้ติดตามน้อย (800-5,000) ในจํานวนมาก ๆ (100 คนขึ้นไป) การสื่อสารออกไปอาจจะได้ผลดีกว่า

Call-to-Action (CTA): อย่าลืมการสร้าง CTA เช่น ชวนไป ทําอะไร, มีลิงก์ไปดูข้อมูลต่อ, ลงทะเบียน หรือซื้อ สินค้า, promo-code

โดยข้อมูลข้างต้น จะเป็นตัวช่วยว่าแบรนด์ของเราควรทราบค่าแก่การลงทุนสื่อสาร ผ่านคนดัง Influencer ประเภทไหน สามารถดูได้จากปิรามิดของ Influencer หรือที่เรียกว่าปิรามิดแห่งการโน้มน้าว ( Pyramid of Influence) ดังนี้

*ปิรามิดแห่งการโน้มน้าว (Pyramid of Influence)

เพราะสิ่งเหล่านี้อาจจะบอกได้ว่า สุขภาพของแบรนด์ ขึ้นอยู่กับความเห็นของผู้บริโภค 80% ผู้บริโภคส่วนใหญ่เชื่อเพื่อน หรือผู้มีอิทธิพลทางความคิดอย่างมาก แม้จะรู้ว่าเป็นการโฆษณา และหากแบรนด์ต้องการให้คนเห็นสินค้าของเรา หรือ Reach สูง ๆ  ให้เลือกใช้ Macro-Influencer หรือ Micro-Famous Influencer แต่ถ้าอยากได้ Engagement (Like, Share, Comment) ให้เลือกใช้  Micro-Influencer โดยเฉพาะกับ Micro-Influencer ถ้าอยากได้ผลตอบรับที่วัดผลได้ จะต้องใช้จำนวนประมาณ 50 คนขึ้นต่อแคมเปญ รับรองได้ว่าสินค้า/บริการของคุณนอกจากจะเป็นที่รู้จักแล้ว ยังสร้างให้เกิดความต้องการซื้อ (Purchase Intent) ได้ด้วย ทั้งนี้ต้องอาศัย Tool ที่มีประสิทธิภาพ และวัดผลได้ ที่เหลือก็อยู่ที่คุณว่าพร้อมหรือยังที่จะพิสูจน์พลังแห่งการบอกต่อนี้