“การทำธุรกิจทุกอย่างต้องวัดผลได้”
“การเข้าใจลูกค้า ต้องมาจากการเก็บข้อมูล รับฟีดแบ็คจากลูกค้าจริงๆ”
เนื้อหาการสอน
– ลูกค้าเข้าเว็บไซต์แล้วทำไมไม่ซื้อ ?
– แก้เว็บไซต์จุดไหน ถึงจะปิดการขายได้มากขึ้น ?
-โฆษณาช่องทางไหนดี มีประสิทธิภาพมากที่สุด?
– ทำอย่างไรจะลดงบการตลาดที่หมดไปกับโฆษณาที่ไม่มีคุณภาพ ?

ความคิดเห็นจากลูกค้านั้นแบ่งเป็นสองแบบ
- Noise คือความคิดเห็ดแบบเสียงนกเสียงกา ไม่ได้ใช้จริงแต่เลือกที่จะวิจารณ์
- Feedback คือ ความคิดเห็นจากลูกค้าตัวจริง เสียเงินให้เราจริงๆ
” ดังนั้นการรับ Feed Back ที่นำไปวิเคราะห์ได้จริง คือการฟังแค่ลูกค้าตัวจริง ใช้จริง เท่านั้น “
จะรู้ได้อย่างไรว่า สินค้าของเรานั้นดีหรือไท๊ ดังนั้นการจะมีข้อมูลจึงต้องมีการทำงานเพื่อได้รับข้อมูลให้ครบองค์ คือ
การสร้าง – วัดผล – เรียนรู้
เมื่อเรียนรู้และวัดผลแล้ว จึงนำผลลัพธ์ที่ได้มาสร้างสิ่งใหม่ เช่น สร้างสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น ผลิตบรรจุภัณฑ์ใหม่ การสร้างแคมเปญจ์ใหม่ที่เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น เป็นต้น
How to interview your customers?
- จงเป็นแมลงวันตามผนัง คือการแอบมอง แอบฟัง แต่ไม่เข้าไปยุ่ง
- ลองไปเป็นลูกค้าเอง
- รับฟีดแบ็คจากลูกค้าโดยตรง ด้วยการถามแบบลงลึก เจาะไปถึงความรู้สึกในด้านต่างๆที่มีต่อสินค้า ต่อแบรนด์ โดยต้องเน้นถามเพื่อรับข้อมูลเท่านั้น ห้ามชี้นำ ห้ามมโน

เครื่องมือและตัวแปรสำคัญในการวัดผลของการทำโฆษณา
CAC : Customer Acquisition Cost : จำนวนเงินที่พาลูกค้าใหม่เข้ามาหาคุณ
ต้องสามารถวัดผลได้ว่า ลงเงินไปจำนวนเท่าไหร่แล้วสามารถนำลูกค้าเข้ามาใหม่ได้กี่คน เฉลี่ยแล้วตกเป็นคนละกี่บาท
เช่น ลงทุนซื้อโฆษณาด้วยเงิน 400 บาท มีลูกค้าใหม่ที่เข้ามาใช้สินค้าจริง จำนวน 4 คน
ค่า CAC จะเท่ากับ 100 บาทต่อคน
LTV : Lifetime Value รายได้ที่จะได้รับจากลูกค้าตลอดที่ยังใช้สินค้าและบริการของเรา
เช่น เล่นลูกค้าใหม่ที่เข้ามา ตลอดชีวิตซื้อสินค้าเราจำนวนเงินทั้งหมด 400 บาท
เมื่อหา LTV :CAC ได้แล้ว จะพบว่า ลงทุนกับลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยเงินคนละ 100 บาท แต่ละคนตลอดชีวิตให้เงินเราทั้งหมด 400 ถือว่ายังมีกำไร แต่หากลบกันแล้วพบว่าได้น้อยมากหรือติดลบ ก็ควรนำข้อมูลมาพิจารณาต่อว่าเราควรเปลี่ยนแปลงแคมเปญ หรือรักษาลูกค้ากลุ่มนี้ไว้หรือไม่
Magic Number ของสูตรนี้คือ 1:5
การเข้าใจลูกค้าและทำความรู้จักลูกค้า
- Customer Journey : ต้องเข้าใจและรู้ว่าลูกค้ามีเส้นทางการเข้าถึงสินค้าและบริการของเราอย่างไร และ จุดไหนคือจุดที่ดีที่สุด แล้วออกแบบสินค้าและบริการ หรือ แคมเปญจ์ ให้เข้ากับ Customer Journey
- Customer Journey Mapping : ต้องสร้างแผนที่การเดินทางของลูกค้าจนถึงการเข้าซื้อสินค้าและบริการบนหน้า เว็บไซต์ของเราได้ ว่าเค้าต้องมองเห็นอะไร ผ่านปุ่มอะไรมาบ้าง และ ออกไปจากหน้าเว็บไซต์ของเราจากหน้าไหน ทำไมกดเลือกลงตะกร้าหรือถามราคาสินค้าแล้วไม่มาถึงจุดจ่ายเงิน ต้องตอบจุดนี้ให้ได้เพราะบ้างครั้งมันเกิดจากแคเรื่องเล็กๆ เช่น คำในปุ่มนั้นดูน่ากลัวเกินไปไม่เป็นมิตรกับลูกค้า
- User Experience : เมื่อเข้าใจ Customer Journey Mapping ก็สามารถออกแบบประสบการณ์การซื้อสินค้า หรือ บริการผ่านหน้าเว็บไซต์ของเราให้สร้างประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีต่อลูกค้า
#จุดที่ดีที่สุดคือ Business Needs กับ Customer Needs ต้องเจอกันแบบพอดีๆ
Business Model มีสำคัญๆ อยู่ทั้งหมด 3 รูปแบบ
- Subscription Model – เป็นรูปแบบการสมัครสมาชิกที่ลูกค้ามีการจ่ายเงินให้เราทุกเดือน จนกว่าจะมีการยกเลิก
เช่น Netflix, Spotify, Fitness, Spa เป็นต้น
สิ่งที่ต้องสนใจ
- Number of Active User – ลูกค้าที่ยังจ่ายเงินในปัจจุบัน เพื่อให้รู้รายได้รวมและคำนวนการคงอยู่ของลูกค้า ในแต่ละรุ่น
- Revenue – รายได้จากลูกค้า ต่อคน/ ต่อเดือน
- Cost per Acquisition – อยากมีลูกค้าเพิ่มต้องใช้เงินเท่าไหร่
- Churn Rate – อัตราการบอกเลิก
การใช้วิธีวิเคราะห์แบบ Cohort Analysis ทฤษฎีขนมชั้น

การนับลูกค้าเป็นรุ่น ๆ เพื่อดูว่าแต่ละโปรโมชั่นที่ทำให้ลูกค้าแต่ละรุ่นเข้ามาทำให้ลูกค้าอยู่หรือไปในระดับไหน โปรโมชั่นไหนทำให้คนอยู่ได้นาน โปรไหนทำให้คนอยู่ได้เพียงระยะสั้นๆ แต่ละรุ่นกลับมาซื้อซ้ำเท่าไหร่
2. Commercial Model – รูปแบบการขายสินค้าแบบได้เงินมาของไป เป็นครั้งๆ คือการขายทั่วไป
สิ่งที่ต้องสนใจ
- Total Visitor – ต้องรู้ว่าคนเข้าหน้าร้าน ผ่านหน้าร้าน หรือ เว็บไซต์ของคุณกี่คนต่อวัน
- Conversion Rate – จ่ายเงินกี่คน เฉลี่ยคนละเท่าไหร่ ต้องหาจุดที่ทำให้คนสามารถจับจ่ายเพิ่มได้
- Lifetime Value – ต้องเพิ่มการกลับเข้ามาหรือการอยู่ในร้าน เพื่อให้ลูกค้าเห็นสินค้าและใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
- Customer Acquisition Cost – ค่าโฆษณา ว่าจำนวนค่าใช้จ่ายที่ทำให้ลูกค้ามาถึงร้านเป็นเท่าไหร่
3. Consult Model – ที่ปรึกษา เอเจนซี่ หรือ ธุรกิจที่ต้องการหาลูกค้าเข้ามาใช้บริการของคุณในการผลิตงาน
สิ่งที่ต้องสนใจ
- Customer Acquisition Cost – ใช้เงินกี่บาทในการหาลูกค้าเข้ามา 1 เจ้า
- Width of Funnel – ความสามารถในการขายของทีมและความสามารถในการทำงาน ทีมขายและทีมทำงานต้องสมดุลย์กัน เช่นทีมขายเก่ง ขายงานได้มาก แต่ทีมทำงานทำงานได้ไม่เท่าจำนวนที่ขายได้ ก็ทำให้เสียโอกาส
- Retention Rate – ต้องมีอัตราการกลับมาใช้ซ้ำ ทำให้ลดค่าการตลาด ค่าโฆษณา
ติดตามสัมมนา และ Workshop ฟรี! ครั้งต่อไป ได้ที่
Line : @ryounoi100lan
เพิ่มเพื่อนตอนนี้เลย
ช่องทางสำหรับการโปรโมทกิจกรรม
และเพื่อรับสิทธิ์ลงทะเบียน ฟรี! ก่อนใคร
#อายุน้อยร้อยล้าน #สัมมนาฟรี
#workshopฟรี #MushroomSuperclass #YoungSelfmadeMillionaireClub #YSMC