ในโลกของธุรกิจนั้นแน่นอนว่าเราทุกคนต้องมีคู่แข่งทางการตลาด แต่ทำอย่างไรที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกซื้อหรือใช้บริการธุรกิจของคุณมากกว่าเจ้าอื่น ๆ ซึ่งนั่นต้องไม่ใช่เพียงแค่คุณดีกว่าเขายังไง แต่ต้องรวมไปถึงคุณแตกต่างจากเขาอย่างไร และคุณให้อะไรกับลูกค้าได้บ้าง วันนี้ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณมิ้นท์ มรกต ชมบุญ และ คุณกันต์ นวพร ธรรมรัตน์วิภาค เจ้าของร้าน T-Shirt Master คู่รักเด็กแนวที่เริ่มทำธุรกิจกันตั้งแต่อายุเพียงแค่ 20 ต้น ๆ มีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก ธุรกิจหมอนปลาทูสุดครีเอท ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างมากบนโซเชียลมีเดีย จนเติบโตกลายมาเป็นเจ้าของกิจการรับพิมพ์เสื้อ ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่น แม้กระทั่งศิลปินดัง ๆ อย่าง Urboy TJ หรือ ค่ายแรปเปอร์ชื่อดังอย่าง Yupp! ก็มาเลือกใช้บริการที่นี่ จากธุรกิจเล็ก ๆ ที่ทำกันเพียงแค่ 2 คน อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จกันถึงจุดนี้ได้ วันนี้เราจะไปพูดคุยกับทั้งสองคนกันครับ
ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่า T-Shirt Master มีจุดเด่นอย่างไรบ้าง ?
คุณกันต์ : T-Shirt Master เป็นธุรกิจเกี่ยวกับรับพิมพ์เสื้อ สกรีนเสื้อยืดที่ลูกค้าออกแบบมาเอง มีจุดเด่นคือการนำเสนอ เพราะร้านทำเสื้อมีคู่แข่งจำนวนมาก หลายร้านเปิดมาแล้วหลายสิบปี เราไม่สามารถไปสู้กับเขาในเรื่องของราคาได้อยู่แล้ว ซึ่งส่วนมากลูกค้าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน อายุประมาณ 18 – 35 ปี ดังนั้นเราเลยเลือกช่องทางและรูปแบบการนำเสนอที่ยังไม่เคยมีใครทำนั่นก็คือการทำเสื้อ Bootleg ซึ่งเป็นเสื้อที่วัยรุ่นนิยมอยู่ตอนนี้ แล้วเราก็จะมีการโพสต์ในเฟซบุ๊กอยู่เรื่อย ๆ เวลาคนอื่นเข้ามาดูก็จะเห็นว่าเราเน้นทำเสื้อวัยรุ่น หรือเสื้อแนวที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ ที่ยังไม่ค่อยมีร้านอื่นทำ
คุณมิ้นท์ : มิ้นท์คิดว่าอีกหนึ่งจุดเด่นของร้านเราก็คือการให้บริการ นั่นก็คือตั้งแต่ลูกค้าทักแชทเข้ามาในเพจ เวลาที่เราสองคนคุยกับลูกค้าจะคุยแบบเป็นกันเอง อย่างเวลาลูกค้าส่งไฟล์สกรีนมา บางที่อาจจะทำตามนั้นเลย แต่สำหรับเราถ้าเกิดไฟล์มันเล็กไปก็จะคุยกับลูกค้าว่าถ้าพิมพ์ออกมาแล้วมันจะได้เท่านี้นะ ให้เขาส่งไฟล์ที่ใหญ่ที่ชัดกว่านี้มาให้เพื่อจะได้เสื้อที่ถูกใจเขา ถ้าเขาซื้อเราในราคา 300 บาท มันก็คุ้ม บางครั้งลูกค้าส่งไฟล์มาเราก็จะช่วยแต่งให้อีกที เพราะถ้าได้เสื้อออกมาไม่สวย ภาพแตก 300 บาท ก็คงถือว่าแพงเกินไป ซึ่งมันเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เราไม่มองข้าม เพราะเราไม่ได้อยากได้ลูกค้าแค่แบบมาแล้วไปแต่อยากได้ลูกค้าที่อยู่กับเรานาน ๆ ทุกวันนี้ลูกค้าก็จะทักมาถามก่อนว่าพี่กันต์ครับถ้าพิมพ์แบบนี้จะสวยไหม ซึ่งเรามองว่าเราอยู่กับเขาแบบครอบครัวค่ะ
แล้วอย่างนี้มีลูกค้ากลับมาสั่งซื้อกับที่ร้านซ้ำอีกครั้ง กลายเป็นลูกค้าประจำของเราเลยบ้างไหมครับ ?
คุณมิ้นท์ : มิ้นท์กับกันต์มีลูกค้าประจำที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าเกิน 20 – 30 เจ้า อาจจะเพราะเราเห็นเขาเป็นน้อง เราก็เลยอยากจะทำอะไรให้เขาเอาไปขายแล้วสามารถขายได้ แล้วก็วนมาทำกับเราอีก เราก็เลยเพิ่มบริการที่ว่ามีการเพิ่มป้ายแท็กห้อยให้ด้วย เราก็แค่ลงทุนเครื่องพิมพ์เพิ่ม แล้วก็ห้อยติดคอให้น้อง ๆ ไป เวลาเขาเอาไปขายเขาก็จะได้มีแบรนด์เป็นของตัวเอง
คุณกันต์ : ผมไม่รู้ว่าร้านอื่นเป็นไหมนะครับ แต่สำหรับที่นี่เราใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะเราอยากให้จบที่เราที่เดียวไปเลย ตั้งแต่ทำซอง ป้ายแท็ก แม้กระทั่งถ่ายรูป เราก็จะถ่ายรูปจัดแสงแบบสตูดิโอ เพื่อให้เขาได้ภาพสวย บางคนเอาไปใช้พรีออเดอร์ หรือลงขายก็สะดวกมากขึ้น ซึ่งเราก็เลยคิดเผื่อเขาไปด้วยเลยในส่วนนี้
คุณมิ้นท์กับคุณกันต์มีชื่อเสียงโด่งดังมาจากโซเชียลมีเดียด้วยธุรกิจหมอนปลาทูยักษ์ที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยพบเห็นผ่านตามหน้าเฟซบุ๊กมาอย่างแน่นอน แล้วเป็นมายังไงทำไมถึงได้มาเริ่มทำธุรกิจ T-Shirt Master ได้ครับ ?
คุณมิ้นท์ : ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้เราทำธุรกิจที่ชื่อว่า Tistgraphy ซึ่งเป็นร้านเกี่ยวกับเสื้อคนมาแล้ว 10 ปี แต่ว่าในตอนนั้นจะเป็นลายสุนัขสำหรับกลุ่ม dog lover รวมถึง หมอน ผ้าพันคอ กระเป๋า พวงกุญแจ โดยใช้การที่กันต์เก่งเรื่องวาดรูปมาวาดแล้วก็ทำออกมาเป็นสินค้าชิ้นเดียวในโลกให้กับลูกค้า ต่อมาเราก็มีไอเดียที่อยากจะทำอะไรแปลกแหวกแนว ประกอบกับแม่ของกันต์เขาทำร้านอาหารอยู่แล้ว เลยเกิดเป็นธุรกิจ Delicious Pillow หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือหมอนปลาทูยักษ์นั่นเองค่ะ ซึ่งตอนนั้นก็ขายดีมาก จนวันนึงกันต์เขาก็เริ่มอยากจะขยับขยายหาอะไรทำเพิ่มเติมก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของร้าน T-Shirt Master ก็เกิดขึ้นค่ะ
คุณกันต์ : ครับ ตัวธุรกิจ T-Shirt Master ก็เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นธุรกิจที่กันต์อยากดูแลคนเดียว เพราะตอนนั้นด้วยความที่เราก็มีประสบการณ์ด้านนี้มาพอสมควรแล้วทั้งหมอนปลาทู หรือเสื้อเองก็ด้วย ก็เลยอยากทำอะไร เพราะความต้องการของตัวเองเลยครับตอนนั้น แบบมิ้นท์ไม่ต้องช่วยก็ได้ ขอกันต์ลุยเองอยากจะทำอะไรที่มันวัยรุ่น ทำเอง ตอบเพจ คุยกับลูกค้าเอง แต่พอเริ่มทำปุ๊บมันเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว มันไม่ใช่เล่น ๆ แล้ว ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น ก็เลยต้องไปขอให้มิ้นท์เข้ามาช่วยอีกแรง เราก็มีเวลาไปดูแลเรื่องการโปรโมทเพจ ทำหน้าเว็บให้สวยอะไรแบบนี้ เวลาเราอยากได้อะไร มิ้นท์ก็ ซัพพอร์ทในส่วนที่ขาดไป
เมื่อสักครู่นี้คุณมิ้นท์กับคุณกันต์ได้สกรีนเสื้อให้ผมโดยเอารูปจากที่ผมมีอยู่แล้วส่งเข้าคอมสั่งพิมพ์แปปเดียวก็ได้เสื้อลายนั้นออกมาเลย การทำเสื้อได้เร็วมีส่วนช่วยให้ธุรกิจเราเติบโตได้เร็วด้วยไหมครับ ?
คุณมิ้นท์ : เร็วขึ้นมากค่ะ อย่างลูกค้าบางคนอยากได้เสื้อทักมาตอนเย็น ส่งรูปดูรายละเอียดแล้วโอเคพิมพ์ได้ เช้าวันถัดมาเราก็ส่งให้ได้เลย สั่งวันนี้พรุ่งนี้ได้ บางครั้งสั่งเช้าได้บ่ายก็มีนะคะ ทำให้สะดวกมากเพราะเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลทำงานได้ค่อนข้างเร็วมากเลยทีเดียว
คุณกันต์ : อย่างที่มิ้นท์บอกเลยครับ มันช่วยให้การคุยงานมันง่ายมากขึ้น ตัดสินใจง่ายมากขึ้น ไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมาก ถ้าผมดูแล้วพิมพ์ได้ก็จบเลยครับ อย่างเทคนิคอื่นมันใช้เวลาคุยกันนานมากในแต่ละแบบเลือกสี ผสมสี แต่อันนั้นถ้าดูภาพแล้วโอเคก็รอรับของได้เลยครับ
หลังจากนั้นเสียงตอบรับจากลูกค้าของเราเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
คุณมิ้นท์ : ผลตอบรับดีเลยค่ะ ดีมาก ลูกค้าแฮปปี้ทุกคนเลย ทุกคนจริง ๆ อย่างบางเจ้าก็มีการมาลองสั่งก่อนสัก 10 ตัว แล้วก็กลับมาสั่งอีกเป็นพันก็มี ซึ่งนั่นก็คือ UrboyTJ นั่นเอง จากตอนแรกทำแค่ล็อตเดียวสุดท้ายบอกว่ามีอีกทุกเดือนทั้งปีนี้เลยค่ะ เราก็ดีใจที่เห็นลูกค้าชอบแล้วกลับมาสั่งกับร้านเราอีก
คุณกันต์ : จริง ๆ ก็มีอีกหลายแบรนด์เลยครับ ทั้ง Pretty boy gear ของ ‘YOUNGGU’ ร้าน Outcast ที่สยาม คุณแว่น cuteboy ที่เป็นสตรีมเมอร์ พิพิธภัณฑ์เสื้อยืด Museum of TEEs Thailand แล้วก็ค่ายเพลงแรปเปอร์ Yupp! ก็มาทำที่นี่ เหมือนกันครับ
สำหรับธุรกิจรับพิมพ์เสื้อแบบนี้มีการลงทุนสูงไหมมากครับ ?
คุณมิ้นท์ : มิ้นท์คิดว่าแล้วแต่คนเลยค่ะ เพราะราคาของเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัลก็มีหลายเรทราคามาก ส่วนเราสองคนอยากจะพิมพ์บนผ้าคอตตอนได้มานานมากแล้ว เพราะส่วนมากลูกค้าจะชอบเสื้อคอตตอนมากกว่า เราได้ไปเดินดูงานแสดงสินค้าต่าง ๆ หลายครั้ง แต่ตอนนั้นยังไม่เจอเครื่องที่ถูกใจ เจอแต่เครื่องราคาแบบราคา 8 – 16 ล้านบาท ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ผ้าตัวใหญ่ เราก็กลับบ้านมือเปล่าตลอด จนกระทั่งปีที่แล้วไม่รู้เพราะอะไรอาจจะดวงสมพงษ์ด้วยหรือเปล่า อยู่ดี ๆ ก็ไปเจอเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล Brother GTX เราลองทดสอบดูโดยใช้ภาพที่กันต์ออกแบบซึ่งรายละเอียดภาพมันเยอะมาก กะว่าทำภาพยากที่สุดแล้วให้เขาลองพิมพ์ดู สรุปแล้วเขาก็ทำได้ดี ในเรื่องของราคาเครื่องตอนนั้นก็ประมาณ 8 แสนบาท มาพร้อมกันกับเครื่องพ่น ซึ่งถือเป็นราคาที่ก็สูงเหมือนกันสำหรับคนเริ่มต้นธุรกิจ แต่มันแลกมาด้วยคุณภาพที่ดีกว่า และเราก็ให้
ความสำคัญในตรงนี้ เวลาลูกค้ามาทำเสื้อกับเราก็ได้เสื้อที่คุณภาพดีกลับไป ลูกค้าก็อยากจะกลับมาอีก เราคิดมาดีแล้วลงทุนครั้งเดียวถือว่าคุ้มค่า ทำให้ตัดสินใจจองตั้งแต่วันนั้นเลย
คุณกันต์ : อย่างที่มิ้นท์บอกเราดูมาหลายตัวมาก แต่ก็ยังไม่เจอตัวที่ถูกใจ ซึ่งแต่ละแบรนด์พิมพ์ออกมาได้ไม่เหมือนกันเลยนะครับ บางตัวพิมพ์ออกมาเป็นแผ่น ๆ บ้าง ไม่สามารถพิมพ์ได้ในบางจุดบ้าง พิมพ์ออกมาแล้วไม่เหมือนแบบบ้าง บางทีรายละเอียดมาก ก็ไม่สามารถพิมพ์ได้ แต่พอมาเจอตัวนี้ก็คือถูกใจเลยเพราะสามารถพิมพ์ได้แบบที่เราตั้งเป้าไว้ น่าจะโอเคที่สุดแล้ว ผมว่ามันพิมพ์ได้คม ละเอียด และอีกอย่างคืองานหรือสีฟุ้ง งานที่ไล่เฉดสีแบบ Gradian ก็สามารถพิมพ์ได้ อย่างสีเทาบางครั้งยี่ห้ออื่นก็จะฉาบสีขาวแล้วค่อยตามด้วยสีดำออกมาเป็นแผ่น ๆ แต่อันนี้คือจะเป็นการฉาบสีบาง ดูแล้วมันสมูทกว่า คือเครื่องมันฉลาดมาก ทั้งตัวเครื่อง ซอฟต์แวร์ วิธีการอ่านไฟล์ สามารถอ่านได้ละเอียดมากจริง ๆ
คุณมิ้นท์ : สิ่งที่มิ้นท์ชอบแล้วก็รู้สึกว่ามันสะดวกก็คือเขาสามารถพิมพ์ผ้าได้หลายชนิดนอกจากคอตตอนแล้ว โพลีเอสเตอร์ เสื้อเชิ้ต ยีนส์ แม้แต่หมวก กระเป๋า รองเท้า ก็พิมพ์ได้หมด แล้วอีกอย่างคือทาง Brother GTX เขาเคลมมาว่าเสื้อที่พิมพ์นั้นติดทนสามารถซักซ้ำได้ถึง 50 ครั้ง แต่เอาจริง ๆ เราก็บอกกับลูกค้าว่าประมาณ 20 กว่าครั้ง เพราะเวลาซื้อไปกว่าจะซักครบ 20 กว่าครั้ง ก็คงถือว่าคุ้มแล้วนะคะสำหรับเสื้อตัวนึง แล้วร้านของเราถ้าเกิดสีหลุดสีลอกอะไรแบบนี้เราจะเคลมให้ทันทีไม่ต้องห่วงจะกี่ตัวก็เคลมให้เลยไม่มีข้อแม้ แต่แค่ในปีที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยมีลูกค้าเจ้าไหนมาเคลมเรื่องลายสกรีนลอก สีหลุดหรือสีลอกเลยค่ะ
สำหรับเครื่องพิมพ์ผ้าแบบ DTG มีความแตกต่างจากบล็อกสกรีนอย่างไรหรอครับ?
คุณกันต์ : มันเป็นเรื่องของเทคนิคครับ บล็อกสกรีนเป็นเทคนิคที่มีมานานแล้วเป็นแบบที่ต้องใช้คนในการปาดสีทีละบล็อกลงบนเสื้อทีละตัว แต่แบบที่เราใช้อยู่นี้ก็คือปล่อยให้เครื่องจัดการเองเลย รูปแบบงานที่ออกมาก็ไม่เหมือนกัน บล็อกสกรีนจะจำกัดกว่าในหลายด้าน เช่น เรื่องสี ก็จะจำกัดว่าได้แค่ 4 หรือ 8 สี แล้วบล็อกสกรีนก็จะไล่สีมากไม่ได้เขาอาจจะเอาสีมาค่อย ๆ เพิ่มได้ แต่ถ้าเราเข้าไปมองใกล้ ๆ จะเห็นสีที่สกรีนเป็นเม็ด ๆ เลย ซึ่งรายละเอียดตรงนั้นมันก็ไม่ได้ตามแบบที่สั่ง แต่สำหรับเครื่องพิมพ์ Brother GTX ก็จะพิมพ์ตามรูปเลย รูปมายังไงก็ลงบนเสื้อแบบนั้นครับ ก็ถือเป็นความฟินของคนที่ทำเสื้อ เรียกว่ามันไม่มีข้อจำกัดในการออกแบบจะทำรูปไล่สีมายังไงอลังการแค่ไหนก็สามารถพิมพ์ออกมาได้เลย
คุณมิ้นท์ : เรื่องจำนวนการสั่งซื้อก็ต่างเช่นกัน สำหรับเครื่องพิมพ์ Brother GTX คุณสั่งตัวเดียวก็ได้ แต่ถ้าสั่งแบบบล็อกสกรีนก็อาจจะต้องสั่งในจำนวนที่เยอะขึ้นเพื่อให้คุ้มกับค่าบล็อกสกรีนซึ่งราคาเริ่มต้นอยู่ในหลักพัน ในบางครั้งลูกค้าอยากทำแค่ 5 – 6 ตัว ใส่กันกับกลุ่มเพื่อนการเลือกแบบเครื่องพิมพ์ก็จะสะดวกกว่า แล้วเรามองว่ากลุ่มลูกค้าเราเป็นคนละกลุ่มกันด้วย คนที่เลือกแบบบล็อกสกรีนก็เพราะต้องการเสื้อจำนวนมาก ๆ เช่น ใส่ไปสัมมนา ไปทริปบริษัทจำนวนคนเยอะ ๆ ในงบที่จำกัด ไม่เน้นรายละเอียดของลายผ้ามากนักค่ะ
จากวันแรกที่เริ่มต้นทำกิจการการพิมพ์เสื้อมาจนกระทั่งวันนี้ T-Shirt Master เติบโตขึ้นจากเดิมมากแค่ไหนครับ ?
คุณมิ้นท์ : ในระยะเวลาปีครึ่ง เรามีเครื่องพิมพ์ Brother GTX เพิ่มขึ้นมาถึง 3 ตัว ตอนแรกเราก็คิดไม่ถึงเหมือนกันแต่หลังจากเครื่องแรกประมาณ 10 เดือน เครื่องที่ 2 ก็ตามมา แล้วเครื่องที่ 3 ก็ตามมาติด ๆ เลยค่ะ เพราะธุรกิจของเราเติบโตเร็วขึ้น ส่วนตัวมิ้นท์มองว่ามันช่วยในเรื่องของกำลังการผลิต เราสามารถรับออเดอร์ได้มากขึ้นและทำได้ไวขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของต้นทุนค่าสีหมึกที่ถ้าซื้อพร้อมกันเยอะ ๆ เราก็จะได้ในราคาที่ถูกลงด้วย กลายเป็นเราก็สามารถปรับราคาลงได้อีกในขณะที่คุณภาพเท่าเดิม ลูกค้าก็จะประทับใจมากขึ้น จริง ๆ แล้วเราก็อยากมีอีกนะคะ อยากทำเป็นแบบอุตสาหกรรมเลยแหละ ถ้ามีงานก็พร้อมสู้ค่ะ (หัวเราะ)
ที่ผมเห็นเมื่อสักครู่นี้คือขั้นตอนการทำงานในแต่ละครั้งคือรวดเร็ว คุณมิ้นท์และคุณกันต์ดูใช้งานเครื่องได้แบบมืออาชีพมากๆ ตั้งแต่ซื้อเครื่องพิมพ์ผ้า Brother GTX ตัวนี้มาใช้งานยากมากไหมครับ แล้วทั้งสองคนใช้เวลานานไหมกว่าจะชำนาญในการใช้งานจนคล่องแบบนี้ ?
คุณมิ้นท์ : ช่วงแรกก็มีปัญหาเหมือนกันนะคะเพราะเราไม่รู้จักวิธีดูแลที่ถูกต้อง เคยเอาไปตากแดดไว้เพราะไม่รู้ว่าต้องเปิดแอร์ให้ด้วยนะ แต่สุดท้ายพอเราศึกษาและรู้แล้วว่าการดูแลที่ดีนั้นต้องทำยังไงก็ใช้งานได้ดีเลยไม่มีปัญหา ทีมงานหลังการขาย ซัพพอร์ทเราทุกอย่างเลย ดูแลเราดีมาก ๆ ดูแลเราตลอดเวลาถามอะไรก็จะตอบเราอย่างรวดเร็ว เครื่องขัดข้องก็คือเข้ามาหาเราถึงที่เลย บริการดี คุยง่าย ยิ่งเราเป็นธุรกิจแบบเอสเอ็มอีทำที่ออฟฟิศเล็ก ๆ ตั้งแต่ที่เรามีเครื่องแค่เครื่องเดียว เขาก็ดูแลเราดีแล้วเป็นเหมือนกับพี่น้องมากกว่าลูกค้า
ทั้งสองคนวางแผนธุรกิจในอนาคตไว้อย่างไรบ้างครับ ?
คุณกันต์ : เราก็เริ่มมีการแตกไลน์สินค้าออกมาด้วยการมีเสื้อที่เป็นลายของร้านตัวเอง ทอผ้าเอง เย็บเอง เพื่อคุณภาพที่ดีที่สุดและเป็นทรงที่ตรงใจกับวัยรุ่น แล้วก็จะมีทำแพลตฟอร์มซึ่งเราเห็นของเมืองนอกเขาทำกันแล้วประสบความสำเร็จอย่าง sunfrog ก็จะเริ่มทำเพื่อเป็นการขยายกลุ่มลูกค้ามากขึ้น เพราะเราอยากทำแพลตฟอร์มที่รองรับทั้งคนออกแบบและลูกค้า เป็นการปรับเพื่อให้เข้ากับ T-Shirt Master ของเรามากขึ้นครับ
ฝากอะไรถึงคนที่กำลังสนใจจะเริ่มทำธุรกิจในเรื่องของการวางแผน ตัดสินใจเลือกของ หรือแม้การลงทุนในแต่ละอย่างสักหน่อยครับ
คุณกันต์ : อย่างแรกคือกันต์จะคุยกับลูกค้าแบบเป็นกันเองมาก ทำให้เขารู้สึกสนิทกับเรา อย่างลูกค้าคนแรกที่มาสั่งเสื้อกับกันต์ทุกวันนี้ก็กลายเป็นพ่อค้า แล้วเขาก็ไปบอกต่อเพื่อนที่เป็นพ่อค้าของเขา เกิดการบอกต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่เราสองคนให้ความสำคัญอย่างมากเลยครับ แล้วอีกอย่างสำหรับคนที่ต้องการทำธุรกิจที่ต้องใช้เครื่องพิมพ์ ก็ต้องทำการศึกษาเครื่องในรูปแบบต่าง ๆ ก่อนครับ ทั้งเรื่องราคาและคุณภาพ ว่าเราไหวกับราคาที่เท่าไหร่แล้วคุณภาพที่ได้มาเราพึงพอใจไหม เพราะมันก็คือผลงานของเราที่ออกมาสู่ลูกค้า บางทีถ้าซื้อเครื่องถูกไหวในราคานั้น แต่คุณภาพออกมาแล้วไม่ไหวกับมันก็ต้องคิดให้ดี ไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้วลูกค้าไม่ชอบคุณภาพไม่ดี ลูกค้าที่จะกลับมารอบที่สองก็ไม่มีแล้ว ก็คือซื้อแพงหน่อยแต่ให้มันจบ สิ่งสำคัญคือต้องไปดูด้วยตัวเองก่อน การทำธุรกิจต้องเปิดใจให้กว้าง ใส่ใจกับลูกค้า และละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ดูไฟล์ ตอนพิมพ์ และจัดส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอุปกรณ์มันไม่สร้างปัญหาแล้วยังช่วยส่งเสริมให้เราทำงานได้สะดวกมันก็จะดีมากขึ้นครับ
สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะทำธุรกิจเหมือนกันกับทั้งสองท่านและสนใจเครื่องพิมพ์ผ้าระบบดิจิทัล Brother GTX สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Brother (Thailand) และ Website : www.brother.co.th หรือ โทร : 02 665 7777