รู้จัก “Wesley Ng” CEO Casetify แบรนด์เคสมือถือที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยการใช้พลังของโซเชียลมีเดีย

940

เคสมือถือมีตั้งแต่ราคาหลัก 10 ยันหลักหมื่น หรือแพงกว่านั้นก็มี แต่อะไรคือสิ่งทำให้ Casetify กลายเป็นแบรนด์เคสมือถือที่เติบโตได้เร็วที่สุดในโลก วันนี้จะพามาหาคำตอบไปพร้อมกับทำความรู้จัก Wesley Ng – CEO หนุ่มของแบรนด์ Casetify ผู้ใช้พลังแห่งโซเชียลมีเดียทำให้บริษัทสตาร์ทอัพเล็กๆ เติบโตได้แบบก้าวกระโดด

Wesley Ng นักธุรกิจหนุ่มชาวฮ่องกง CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Casetify แบรนด์เคสมือถือชื่อดังระดับโลก โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ลูกค้าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการออกแบบลวดลายบนเคสมือถือให้ตรงตามความชอบและแสดงความเป็นตัวเองได้มากที่สุด ผ่านการเลือกกรอบ รูปแบบ ข้อความ รูป หรือโทนสีที่จะใส่ลงไปในเคสได้บนเว็บไซต์ ที่จะขึ้นตัวอย่างให้ดูก่อนกดสั่งซื้อ และนี่ก็คือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ที่ทำให้หลายต่อหลายคนชอบและหลงรักในแบรนด์นี้

โดยจุดเริ่มต้นของแบรนด์นั้นเริ่มมาจาก Wesley Ng เกิดอยากได้เคสมือถือแบบที่สามารถป้องกันการกระแทกแต่ยังดูดีสำหรับมือถือเครื่องใหม่ของเขา แต่แน่นอนว่าเคสมือถือกันกระแทกนั้นก็ย่อมมาพร้อมกับขนาดที่ใหญ่และลวดลายที่ไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไร และเมื่อหายังไงก็หาไม่เจอ เขาจึงตัดสินใจสร้างแพลตฟอร์มแบบ interactive ภายหลังใช้ชื่อว่า Casetagram ให้ใครก็ได้เข้ามาออกแบบเคสโทรศัพท์ตั้งแต่ขั้นตอนแรกด้วยการเพิ่มรูปภาพใน Instagram

และจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ นี้ ก็ทำให้เกิดแบรนด์ดังระดับโลกที่ไม่ได้ขายเพียงแค่เคสมือถือที่สามารถออกแบบเองตามที่ต้องการแต่ยังได้เติบโตกลายเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกในการผลิตสินค้าที่สามารถออกแบบเองได้ ไม่ว่าจะเป็น เคสมือถือ, เคสหูฟัง Airpod, เคสIpad, สายนาฬิกาข้อมือ, ขวดน้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย

โดย Ng บอกว่า Instagram คือกุญแจสู่ความสำเร็จของ Casetify “โซเชียลมีเดียคือส่วนสำคัญที่สุดของประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า Casetify และผมไม่รู้สึกเจ็บเลยที่จะมีใครมาเรียกพวกเราว่าเป็น Instagram brand เพราะไม่ใช่แค่แรงบันดาลใจที่เราได้รับจากโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเครือข่ายที่ทำให้เราเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานและลูกค้าของเราได้มากขึ้นอีกด้วย”

ในเวลาไม่นาน Casetify เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดหลังจากที่เหล่าอินฟลูเอนเซอร์หรือเซเลบบริตี้นั้นโพสต์รูปตัวเองลงบนโซเชียลมีเดียของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Kylie Jenner, Gigi Hadid, Elsa Hosk หรือ Addison Rae เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างมากจน Ng ต้องลาออกจากกงานมาเพื่อให้ความสำคัญกับ Casetify อย่างจริงจัง

แต่ถึงอย่างนั้นการใช้คนดังในการช่วยโปรโมทสินค้าก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้แบรนด์ Casetify เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ แต่เป็นเพราะการวางกลยุทธ์และวิเคราะห์ตลาดได้อย่างรอบคอบมากกว่า เพราะพวกเขาทำการศึกษากลุ่มลูกค้าอย่างเจาะลึกถึงความชอบและความต้องการ และนำมันมาปรับปรุงและพัฒนาแบรนด์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีการไป collabs ออกแบบลวดลายร่วมกับเซเลบริตี้ชื่อดังอีกมากมายเพื่อเป็นการดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น รวมไปถึงคุณภาพของสินค้าที่ได้คุณภาพและการออกแบบที่ถึงแม้จะให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้แต่ก็ยังมีขอบเขตในการออกแบบเพื่อให้ลวดลายนั้นยังออกมาสวยถึงแม้จะมีการออกแบบที่แตกต่างกันออกไปมากมายนั่นเอง

และในตอนนี้ Casetify ก็กำลังวางแผนการขยายการเปิดหน้าร้านไปทั่วโลกเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของกลุ่มลูกค้าให้ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะทั่วภูมิภาคเอเชีย อเมริกา หรือแม้แต่ยุโรปก็เช่นกัน

สำหรับเคสมือถือของ Casetify นั้นมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 29 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,000 บาท แต่ด้วยคุณภาพ วัสดุ และความสวยงาม ที่แบรนด์เคลมไว้ว่าได้รับการออกแบบทางวิศวกรรมด้วยโครงสร้างสองชั้นอย่างดีป้องกันการกระแทกรอบด้าน 360 องศา แถมยังมีอายุการใช้งานที่นานหากใช้และดูแลอย่างถูกวิธีซึ่งนั่นทำให้ลูกค้าหลายคนยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้เคสมือถือแบรนด์นี้มาไว้ในครอบครอง

สำหรับใครที่อยากลองออกแบบเคสมือถือเป็นของตัวเองก็สามารถไปลองเล่นกันได้ที่เว็บไซต์ของ Casetify เองได้เลย สุดท้ายนี้ Casetify ถือเป็นตัวอย่างของการทำธุรกิจออนไลน์ได้เป็นอย่างดี เพราะเริ่มต้นจากการให้คนมาออกแบบเคสมือถือแล้วค่อยสั่งผลิตสินค้าตามที่แต่ละคนต้องการ แถมยังเลือกใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมทได้แบบถูกที่ถูกเวลา ประกอบกับการรู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมธุรกิจเคสมือถือที่ใครหลายคนอาจจะซื้อไม่ได้บ่อย แต่สามารถเติบโตและอยู่มาได้ยาวนานขนาดนี้

ที่มา : https://bit.ly/3xuCGz0
https://www.casetify.com/th_TH/faq