ฝึกคิดเป็นระบบด้วย Mind Map เพิ่มศักยภาพการทำธุรกิจ

18693

Mind Map ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยในการจดบันทึก สรุปสิ่งต่างๆที่ผ่านกระบวนการคิดจากสมองของเรา ให้เหลือเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว หลายคนรู้ว่าการใช้ Mind map ดี แต่ไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ได้อย่างไร วันนี้ คุณบอม ธราเทพ แสงทับทิม ผู้เชี่ยวชาญด้านการประยุกต์ใช้ Mind Map เจ้าของสถาบัน Mind Map GuRu จะมาช่วยให้การทำ Mind Map นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น พร้อมเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่าง Mind Map กับ Visual Thinking ที่จะช่วยให้คุณ เห็นโอกาสทางธุรกิจที่ลึกกว่า ละเอียดกว่า, กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น, ช่วยวิเคราะห์แก้ปัญหาได้ตรงจุด ตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ 

Highlight

  • Mind Map เป็นการจดบันทึกในรูปแบบหนึ่ง แต่ต่างจากการจดบันทึกแบบทั่วๆ ตรงที่มีการใช้รูปภาพ เส้น สีสัน และตัวอักษร ประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความเข้าใจง่าย และสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว 
  • Visual Thinking ไม่ใช่ ศิลปะ แต่เป็นการระดมไอเดีย โดยการคิดออกมาเป็นภาพ ภาพง่ายๆที่อ่านแล้วเข้าใจ ภายในกระดาษเพียงแผ่นเดียว
  • การทำ Mind Map พยายามใช้สี ให้หลากหลาย เพราะสี จะทำให้สมองของเราตื่นตัว และจดจำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น
  • Mind Map Thinking For Business ประกอบด้วย 1. Star จุดเริ่มต้นทำธุรกิจ 2. Business Model ใช้หลักการของ  BMC , 4P, 4C 3. Goal เป้าหมายชัดเจน อ.บอมให้หลักการของ SMART มาช่วยจัดระบบธุรกิจ 4. Tools การใช้เครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาในธุรกิจ เช่น กฏ 80 /20 , SWOT, 5W1H , STP และ Creativity 5.Channel ช่องทางการสื่อสาร เราต้องหาให้ได้ว่าช่องทางการสื่อสารมีแบบไหนบ้างที่น่าสนใจ

Mind Map เครื่องมือสำคัญของ Visual Thinking.

Mind Map คืออะไร

Mind Map คือ การจดบันทึกในรูปแบบหนึ่ง แต่ต่างจากการจดบันทึกแบบทั่วๆ ตรงที่มีการใช้รูปภาพ เส้น สีสัน และตัวอักษร ประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดความเข้าใจง่าย และสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้เราเห็นทั้งภาพใหญ่และรายละเอียดบนกระดาษ 1 แผ่น ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นโดย Professor Tony Buzan จากอังกฤษ  เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับทุกคน

“Mind Map เป็นการจดบันทึกที่เริ่มจาก “ตรงกลาง” และแตกไลน์ออกไปตามหัวข้อต่างๆที่เราคิดไว้ ดังนั้นใครตั้งโจทย์เก่ง Mind Map ของคุณก็จะชัดเจนมากขึ้น โดยมีคอนเซ็ปว่า “ คิดให้ครบ เพื่อจะได้ข้อมูลที่ไม่ทับซ้อน” 

วิธีการเขียน Mind Map

  1. เริ่มวาดที่จุดกึ่งกลางของกระดาษ 
  2. ใช้รูปภาพหรือวาดรูปประกอบไอเดียจากที่เราเขียนไปตรงจุดกึ่งกลาง โดยรูปภาพอาจเป็นสัญลักษณ์ หรือภาพที่สื่อความหมายของคำๆนั้นได้ เช่น รูปหลอดไฟ แสดงถึง ไอเดีย รูปแก้วกาแฟ หมายถึง ช่วงเบรกอาหารว่าง เป็นต้น
  3. พยายามใช้สี ให้หลากหลาย เพราะสี จะทำให้สมองของเราตื่นตัว และจดจำสิ่งต่างๆได้ง่ายขึ้น
  4. วาด “กิ่ง” ออกมาจากภาพตรงกลางแล้วแตกกิ่งก้านสาขาออกมาตามที่สมองเราจะคิดได้ โดยต้องให้เส้นเชื่อมต่อกัน 
  5. ใช้เพียงแค่ “คีย์เวิร์ด” ที่สำคัญและเข้าใจง่ายเท่านั้น  สำหรับเส้นกิ่งแต่ละเส้นและคีย์เวิร์ดต้องอยู่บนเส้น 

Mind Map Thinking For Business.

ในการทำ Mind Map สำหรับการทำธุรกิจนั้น อ.บอม ได้แบ่งหัวข้อสำหรับการพูดคุย และการฝึกทักษะในการคิดของคนทำธุรกิจ คือ 

  1. Start  เริ่มต้นการทำธุรกิจโดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว กับ คนที่กำลังมองหาธุรกิจ  สำหรับคนที่มีธุรกิจอยู่แล้ว เราอาจจะต้องมองถึงเรื่องการต่อยอด การพัฒนา และการแก้ปัญหา

ส่วนใครที่กำลังมองหาธุรกิจ ก็สามารถแตกความคิดได้เป็น ธุรกิจที่กำลังเป็นที่ต้องการ กับธุรกิจที่เราชอบและอยากทำ ทุกวันนี้กลุ่มตลาดลูกค้ามีมากมายหลากหลายกลุ่ม เราสามารถมองหาธุรกิจได้ง่ายถ้าเราเก่งในเรื่องนั้นๆจริงๆ

  1. Business Model ในหัวข้อนี้ ก็คือการใส่โมเดลทางธุรกิจที่เราจะนำมาปรับใช้ในการทำธุรกิจของเรา ไม่ว่าจะเป็น  BMC , 4P, 4C เป็นต้น
  2. Goal เป้าหมายชัดเจน อ.บอมให้หลักการของ SMART มาช่วยจัดระบบธุรกิจ
  3. Tools การใช้เครื่องมือในการช่วยวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาในธุรกิจ เช่น กฏ 80 /20 , SWOT, 5W1H , STP และ Creativity
  4. Channel ช่องทางการสื่อสาร เราต้องหาให้ได้ว่าช่องทางการสื่อสารมีแบบไหนบ้างที่น่าสนใจ และสามารถทำให้ธุรกิจของเราเติบโตและขยายได้ในระยะยาว

“จากตัวอย่างข้างบน ถ้าเปรียบเทียบในเรื่องของการผลิตสื่อ  Mindmap ก็เปรียบเสมือน Story Board ทำให้เราสามารถผลิตสื่อออกมาได้ตรงประเด็นกับสิ่งที่อยากนำเสนอ”

ตัวอย่างของการใช้ Mind Map ในหัวข้อธุรกิจต่างๆ

  1. The Marketing Mix 4P&4C 

จากรูป 4P มองจากมุมมองคนทำธุรกิจ แต่ 4C มองจากลูกค้ามองย้อนกลับไป เพราะฉะนั้น เวลาเราทำธุรกิจควรจะมองให้ครบทั้ง 2 ด้าน อย่างตัวอย่าง Mind map ด้านบน

  1.  รูปกล่องของขวัญ Product / Comsumer  คือ มุมมองที่ มองได้ 2 แบบ มองในมุมของเราว่าคุณค่าของ Product เราคืออะไร และมันไปตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเรื่องอะไร ตามความต้องการของเขาไหม เช่น คุณภาพของสินค้า คุณภาพบรรจุภัณฑ์ ดังนั้นเวลาต้องมองทั้ง Product / Comsumer
  2. รูปเงิน Price / Cost ในมุมมองของเจ้าของธุรกิจเราต้องดูเรื่องของกการตั้งราคาว่ามันสมเหตุสมผลกับการที่ลูกค้ามองว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่า
  3. รูปปักหมุด Place / Convenience  เจ้าของธุรกิจก็จะมองในส่วนของ โรงงาน คลังสินค้า หน้าร้าน ช่องทางการจำหน่าย แต่ในส่วนลูกค้า เขามองเรื่องความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า ความง่าย ความไว เช่นการซื้อสินค้าในโลกออนไลน์  ไม่ได้เฉพาะแต่ช่องทางการออนไลน์ แต่อยากให้คำนึงถึงช่องทางที่จะสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้รู้จักเรา คุณค่าของเรา ว่ามันต้องมีวิธีการอย่างไร ทำให้ขาสะดวกสบายทั้งการรับการบริการด้านข่าวสาร การสั่งซื้อของ
  4. รูปดาว Promotion / Communication เจ้าของธุรกิจควรมองในเรื่องของการส่งเสริมการตลาด เช่น การเปิดตัวสินค้า น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน การกระตุ้นยอดขาย การเคลียร์ stock และการสร้างการรับรู้ ให้ลูกค้าของเราเห็นคุณค่าในสินค้าเรา ส่วนในมุมของลูกค้าเขามองในเรื่องของการสื่อสาร บางครั้งเราคิดโปรโมชั่นมาดีมากแต่การสื่อสารไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย ก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่เกิดยอดขาย ดังนั้นการสื่อสารของเราตัวเจ้าของธุรกิจก็ต้องมองแล้วว่าสื่อสารแบบไหนถึงจะไปถึงปลายทาง

“จะเห็นได้ว่า การทำ Mind Map ทำให้เราสามารถตรวจเช็คธุรกิจเราได้เสมอ สามารถมองเห็นปัญหาได้ชัดเจน ซึ่งเมื่อเรามองเห็นปัญหา นั่นแปลว่าเราสามารถแก้ไขปัญหาไปได้แล้วส่วนหนึ่ง ”

2. STP Strategy

  1. Segmentation เวลากำหนดกลุ่มเป้าหมาย ก็ต้องสโคปว่าผลิตภัณฑ์เราเหมาะกับใคร โดยใช้หลักคือ 
  • หาประชากรศาสตร์ ว่าเป็นใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่ 
  • ภูมิศาสตร์ ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง จังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน เป็นต้น 
  • จิตวิยา คือรูปแบบการดำเนินชีวิต ค่านิยม บุคลิกของผู้ใช้ และชนชั้นทางสังคม
  • พฤติกรรม ในที่นี้หมายถึง พฤติกรรมที่เขาจะสามารถใช้สินค้าและบริการของเราเช่น โอกาส ความถี่ อัตรา ชนชั้นทางสังคม
  1. Targeting 
  • ประเมิณสถานการณ์ทางการตลาด เช่น ขนาดของตลาด ความยากง่าย คู่แข่ง การแข่งขันทางการตลาด
  • เลือกตลาดกลุ่มเป้าหมาย ว่าเป็นกลุ่มไหน เฉพาะกลุ่ม หรือทั่วๆไป และลูกค้าเก่าชอบแบบไหน ลูกค้าใหม่ชอบแบบไหนในสินค้าเรา 
  1. Positioning  ทำให้ลูกค้านึกถึงเราก่อนเสมอ
  • มีจุดยืน
  • มีความโดดเด่น โดยใช้หลัก SWOT มาช่วยวิเคราะห์ธุรกิจของเรา

3. Outstanding ให้เกิดความแตกต่างในธุรกิจ

สังเกตว่าตลาดทุกวันนี้เขาโดดเด่นเรื่องอะไร และพยายามทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา มีความแตกต่าง โดดเด่น เพื่อที่จะได้เป็นที่น่าจับตามองในตลาด ภาพด้านล่างคือไอเดีย ที่จะช่วยให้เราหาแนวคิดได้ง่ายขึ้น 

  1. Design  การออกแบบ ที่ดูสะดุดตา น่าใช้
  2. Meterial  วัสดุที่ใช้มีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ทริคแนะนำสำหรับคนทำร้านอาหาร บางครั้งก็ต้องจัดฉากบ้างทำให้เห็นว่าของเรา วัตถุดิบเรามีคุณภาพ น่ารับประทาน นำเสนอแบบกระตุ้นอารมณ์ให้เขาอยากได้ของเรา แล้วการตัดสินใจซื้อจะง่ายขึ้น
  3. Quality คุณภาพสมราคา  ต้องทำให้ลูกค้าเห็นว่า เราคุณภาพดีกว่าอย่างไร
  4. Vareity  มีให้เลือกหลากหลาย
  5. Warranty การรับประกัน เพื่อความอุ่นใจให้กับลูกค้า
  6. Service การส่ง การติดตั้ง 
  7. Safety  ความปลอดภัย

4. Costumer Behavior พฤติกรรมผู้บริโภค

ใช้หลักการ 5 W 1 H มาช่วยเป็นหลักในการวิเคราะห์ ไม่ว่าจำทำธุรกิจ หรือโปรเจคงานต่างๆ เพราะช่วยในการแยกความคิดออกเป็นส่วนๆอย่างชัดเจน 

  • Who  ใครที่เป็นคนตัดสินใจในการใช้ หรือผู้ซื้อคือใคร หรือกลุ่ม  influencer 
  • What  ความต้องการของลูกค้าคืออะไร
  • When ช่วงไหน เวลาไหนิความถี่ โอกาส
  • Where ช่องทาง แหล่งข้อมูล สถานที่
  • Why  ทำไมต้องซื้อ หาคำตอบว่าอะไรที่ตอบสนองความต้องการ เป็นที่ยอมรับ หรือเป็นปัจจัย 4
  • How  การตัดสินใจ  ขั้นตอนการซื้อ

5. Digital Marketing Tools Content.

การทำคอนเทนท์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งการทำ 1 คอนเทนท์ หรือสื่อ 1 สื่อ สามารถสื่อสารได้หลายช่องทางมากๆ ดังนั้น ในเรื่องของ คอนเทนท์และช่องทางการสื่อสารเป็นส่วนที่สำคัญที่ช่วยในการสร้างความรับรู้ การมองเห็นคุณค่าของตัวสินค้า ที่ช่วยในการตัดสินใจในการซื้อและบริการ

“Mind map เป็นเหมือนการ Check list ในสิ่งที่เราต้องทำในการทำธุรกิจ เพราะเราจะมองภาพรวมออกว่า เราควรให้น้ำหนักกับเรื่องไหน เพื่อเป็นการต่อยอดให้ธุรกิจของเราเติบโต”

ติดตามสัมมนา และ Workshop ฟรี! ครั้งต่อไป ได้ที่

Line : @ryounoi100lan

เพิ่มเพื่อนตอนนี้เลย http://bit.ly/2Tq0oMH

ช่องทางสำหรับการโปรโมทกิจกรรม

และเพื่อรับสิทธิลงทะเบียน ฟรี! ก่อนใคร