หากเจ้าของธุรกิจอยากรอดใน 2020 นี้ จะมองแค่การตลาดในประเทศอย่างเดียวไม่ได้ เพราะปัจจุบันนี้มันคือการทำการตลาดบนโลกออนไลน์ มันคือทั้ง global และเมื่อเราดูการเติบโตของ E-Commerce จะพบว่าตลาด E-Commerce เติบโตขึ้นอย่างมาก มูลค่า E-Commerce ปี 2561 มูลค่ากว่า 3,150,232 ล้านบาท อัตราการเติบโต จากปี 2560 มาปี 2561 เติบโตประมาณ 14% โดยตัวเลขการเติบโตรวมตั้งแต่ B2B, B2C และB2G สัดส่วนตัวเลขเหล่านี้โตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก็จะโตขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
แล้วเมื่อดูที่ค่า GDP เราพบว่าจากปี 2552 – 2562 ค่า GDP โตขึ้นเกือบ 1 เท่า ประชากรจาก 63 ล้าน เพิ่มเป็น 66 ล้าน ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจาก 16.1 ล้าน เพิ่มเป็น 45.2 ล้าน ซึ่งเมื่อก่อนเรามี Social Media แค่ Hi5 แต่ปัจจุบัน มีเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter, etc. รวมถึง E-Commerce Player ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee, JD Central ซึ่งเป็นของจีนทั้งสิ้น และสัดส่วนสินค้าที่ขายอยู่บน E-Commerce เหล่านี้ ก็เป็นสินค้าจีนมากกว่าสินค้าไทย
โดยในส่วนของ Digital Marketing เราจะพบว่ามีเม็ดเงินมหาศาลวิ่งอยู่ในโลกดิจิทัล และในปี 2019 เติบโตขึ้น 19% คาดการว่ามีเม็ดเงินอยู่ในดิจิทัลสูงถึง 20,163 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินของการใช้สื่อโฆษณาทั้งประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น ทีวี หนังสือพิมพ์ สื่อนอกบ้าน ทั้งหมดทั้งมวลรวมแล้วอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท/ปี อยู่ที่การตลาดดิจิทัลสูงถึง 20,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20% และกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ประชากรไทยมากกว่า 75% (52 ล้านคน) ใช้งานอินเตอร์เน็ต และใน 52 ล้านคนก็ใช้ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Line, Youtube, etc. คิดง่ายๆ ใน 100 คน มีคนเล่นอินเตอร์เน็ตถึง 75 คน ตอนนี้คนไทยใช้อินเตอร์เน็ตเกินครึ่งประเทศไปแล้ว และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในต่างประเทศเองไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ตัวเลขเหล่านี้ก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกอยู่ในขณะนี้
วันนี้เราจึงไม่ต้องคิดเลยว่าจะทำการตลาดออนไลน์ดีหรือไม่ แต่มันคือ “ต้องทำ”
ซึ่งการที่ทุกคนกระโดดเข้ามาในโลกออนไลน์มันทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้น ทุกร้านที่ขายเหมือนเราคือคู่แข่งเราทั้งสิ้น เมื่อก่อนคู่แข่งเราคือร้านค้าข้างๆ ที่เปิดใกล้เรา แต่ปัจจุบันคือทั้งในประเทศและต่างประเทศ มันคือทั้ง global ดังนั้นการทำการตลาดออนไลน์จะไม่ได้มองแค่ตลาดในประเทศอีกต่อไป ต่างประเทศก็จะเข้ามามีบทบาท และประเทศที่น่ากลัวคือ “จีน”
ดังนั้น ปัญหาที่ผู้ประกอบการกำลังเจอคือการแข่งขันที่ไม่ได้อยู่แค่ในประเทศแล้ว เครื่องมือการตลาดก็เปลี่ยนแปลงเร็วจนแทบจะตามไม่ทัน ลูกค้าก็เอาแต่ใจจนตามใจไม่ถูก สินค้าแข่งกันลดราคาสวนทางกับค่าการตลาด อีกทั้งสินค้าราคาถูกจากจีนยังเข้ามาไทยอีก แล้วผู้ประกอบจะเดินไปทางไหน ทางไหนที่จะทำให้ผู้ประกอบการอยู่รอดได้… ?
5 ต้องรอดในปี 2020
ต้องรอด 1 – สินค้า จีน บุก ไทย ทำอย่างไรดี ?
ถ้าคุณคือสินค้าการผลิต ผลิตรองเท้า ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือซื้อมาขายไป (Trader) คุณจะเริ่มอยู่ยากขึ้น รัฐบาลได้ทำโครงการ EEC (Eastern Economic Corridor) โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกขึ้น เรื่องนี้จะกระทบกับเรายังไง.. Alibaba ได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลไทยตรงที่ เค้าจะทำพื้นที่ที่เรียกว่า Digital Free Trade Zone เงื่อนไขที่เราตกลงกับ Alibaba คือ
- การนำสินค้าเกษตรของไทยส่งออกสู่ตลาดจีนและตลาดโลก
- การเข้ามาช่วยพัฒนา SMEs ไทยให้สามารถค้าขายได้ โดยต้องการให้ SMEs ไทย มีขีดความสามารถในการแข่งขันเรื่อง E-Commerce ได้ดีมากขึ้น
- ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
- ให้ไทยเป็น Hub ในการกระจายสินค้าสู่ CLMV โดย Alibaba มองว่าใน อนาคตภายใน 3-5 ปี ตลาด CLMV จะเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ซึ่ง Alibaba มองไทยเป็น Hub เป็นตัวกลางการกระจายสินค้า
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้ประกอบการอย่างเรา ?
Digital Free Trade Zone เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการตรงที่ เมื่อสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการ ซึ่งทาง Alibaba มาลงทุนในฐานะผู้กระจายสินค้า “ไม่ใช่ผู้ขาย” ดังนั้นสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท จะไม่เสียทั้งภาษีนำเข้าและ Vat นั้นหมายความว่าสินค้าจีนไหลเข้าไทย ไม่ต้องบวกภาษีใดๆ ทั้งสิ้น (ถ้าต่ำกว่า 1,500) ฉะนั้นใครที่ขายสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาทและขายสินค้าที่ตรงกับจีน ต้นทุนคุณสู่เค้าไม่ได้แน่นอน ปัจจุบันถ้าเราสั่งสินค้าจากจีนจะมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่
แบบเก่า คือสั่งจากเว็บ AliExpress คือการสั่งของจากจีนที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เราจะได้ของที่มีราคาถูกมาก แต่ระยะเวลาในการขนส่ง กว่าของจะถูกส่งถึงมือผู้บริโภค สินค้าอาจจะไปวนแคนาดาก่อนถึงจะบินมาส่งที่ไทย
แบบปัจจุบัน คือเราออเดอร์สินค้าไปที่ Lazada, Shopee, JD ปกติเราต้องรอสินค้าเป็น 10 วัน แต่ตอนนี้ใช้เวลาแค่ 3 – 4 วันของก็ถูกส่งถึงมือผู้บริโภคแล้ว เพราะเค้ามีสต๊อกสินค้าในไทย ซึ่งปัจจุบันเวลาสต๊อกของจะเสียภาษี ฉะนั้นเวลาสั่งสินค้าจากตรงนี้ สินค้าจะแพงกว่าการสั่งแบบเก่า
แต่ Digital Free Trade Zone ที่เปิดขึ้นล่าสุดคือการที่สินค้าไหลมาสต๊อกไว้ที่โกดังเลยโดยที่ไม่เสียภาษี ฉะนั้นสินค้ารอขายอยู่ที่ไทย ลูกค้าสั่งพร้อมออกส่งทันที แถมได้ราคาที่ถูกด้วย ถ้าเราคือผู้บริโภคมันคือเรื่องดีที่เราจะได้ของในราคาที่ถูกลง แต่วันนี้เราคือผู้ประกอบการ แล้วเราจะปรับตัวอย่างไร ..
ทางรอด
- สร้างแบรนด์ทั้ง Trader และผู้ผลิต
- เลี่ยงผลิตหรือขายสินค้าที่ตรงกับจีน
- สร้างแบรนด์ของตัวเอง จะเป็นแบรนด์ที่มี “คุณภาพดี” และมีการ “รับประกัน”
- เพิ่ม Value added, บริการหลังการขาย
ยกตัวอย่าง Home Mart ศูนย์รวมขายของใช้ในบ้าน เป็น Trader นำของมาขายโดยมี Concept คือเลือกของดี ของมีคุณภาพ และเป็นของที่ตอบโจทย์ของใช้ในบ้าน ทั้งผู้ชายและผู้หญิง แล้ว “รับประกันสินค้า” แต่ถ้าถามว่าสินค้านี้ใน Lazada มีไหม ก็อาจจะมี แต่เค้าก็เลือกซื้อที่นี้ เพราะได้คุยกับคนไทย มีบริการหลังการขาย มี Service ที่ดี มีการรับประกันสินค้า ไม่ใช่แค่นั้น Home Mart ทำการวิเคราะห์ว่าคนไทยกำลังต้องการอะไร เลือกแต่ของดีของพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ Home Mart
ต้องรอด 2 – Data Privacy
เรื่องนี้สำคัญมาก วันดีคืนนี้เพจคุณอาจจะถูกปิดโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้
8 สิ่งห้ามโพสต์ ก่อนโดน Facebook แบน
- ภาพโป๊เด็ก
- ภาพหัวนมผู้หญิง
- ภาพก้นเปลือย
- ห้ามสารภาพผิดว่าเป็นอาชญากรรม
- ระบุตัวตนของคนอื่น
- ปลุกระดมความรุนแรง
- ใส่ร้ายเหยื่อความรุนแรง
- ห้ามซื้อ-ขายสิ่งเสพติด
โดยเฉพาะข้อ 5 เป็นเรื่องที่สำคัญมาก PDPA (Personal Data Protection) กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีผลบังคับใช้หลังการประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2563 การที่คุณโพสข้อมูลต่างๆ ของบุคคลที่ 3 บนพื้นที่สาธารณะมีความเสี่ยง เป็นเรื่องพื้นฐานที่คุณต้องใส่ใจอย่างมากในปีนี้ ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ-นามสกุล, ที่อยู่, ข้อมูลสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้มีความเสี่ยง ที่จะถูกขโมยตัวตน เพื่อใช้ก่ออาชญากรรมได้ เช่น ในเดือนมีนาคม 2561 Facebook ยอมรับว่าดูแล ข้อมูลส่วนบุคคลของ User ไม่เพียงพอ ทำให้ Cambridge Analytic นำข้อมูลกว่า 50 ล้านคน ไปวิจัยทำแคมเปญหาเสียงเลือกตั้ง
ซึ่งมันจะเชื่อมโยงไปถึงการยิงโฆษณาผ่าน Facebook มันจะทำให้การยิงโฆษณาหากลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือกนั้น ไม่แม่นยำ อีกต่อไป เพราะด้วยกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลการใช้งานใดๆ ได้เลย เช่น Facebook Pixel ที่จะเก็บข้อมูลบุคคลที่เข้าเว็บไซต์ แล้วทำการยิงโฆษณา Facebook กลับไปหาบุคคลนั้น อาจจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป และล่าสุดคุณสามารถตั้ง Off-Facebook Activity คือการปิดไม่ให้ Facebook รู้ว่าคุณกำลังสนใจอะไรอยู่ มันเป็นข้อดีสำหรับบางคน แต่เราคือผู้ประกอบการที่ต้องการยิงโฆษณา ฉะนั้นความแม่นยำของการยิงโฆษณาจะน้อยลง
ทางรอด
- เตรียมพร้อมการเก็บข้อมูลลูกค้าให้ดี (Private area)
- พัฒนา Content ให้ดึงดูด เพื่อลดการพึ่งพาโฆษณาอย่างเดียว
- ทำการตลาดหลายช่องทางอย่าฝากความหวังไปช่องทางเดียว
- Focus Repeat Order Rate รักษาลูกค้าเก่าให้ดี
ต้องรอด 3 – Facebook Advertising 2020
การยิงโฆษณา Facebook วันนี้อาจจะดี แต่พรุ่งนี้มันอาจจะไม่ดีแล้ว เพราะตัว Facebook เองปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ผู้ประกอบการเองต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือ “เข้าใจ” วิธีคิด ไม่ใช่ ท่องจำ วิธีทำ และวันนี้เราจะมาพูดถึงการ Retargeting การโฆษณาซ้ำกับกลุ่มเป้าหมายเดิม เพราะถ้าคุณเข้าใจตรงนี้มันจะทำให้คุณมองเห็นภาพและกลับไปทำเองได้ง่ายๆ
ทำไมต้อง Retargeting ?
การทำ Retargeting ได้อย่างถูกต้องมันจะทำให้ “ลดต้นทุนการโฆษณา” ได้อย่างมหาศาล เพราะมันคือการยิงโฆษณาหากลุ่มคนที่มีเจตจำนงในการซื้อสินค้านั้น หรือมีความสนใจที่จะซื้อ แต่อย่าให้เยอะเกินเพราะมันจะกลายเป็นรำคาญ
ขั้นแรกให้คุณแบ่งกลุ่มเป้าหมายของลูกค้าออกเป็น
- Cold คนที่ยังไม่รู้จักสินค้าและบริการของคุณ
- Warm คนที่รู้จักสินค้าและบริการของคุณบ้าง
- Hot คนที่กระหายสินค้าและบริการของคุณ เช่น แฟนคลับ iphone
ตัวอย่างเช่น
มิว : กด Like โฆษณาที่ขึ้นหน้า Feed, ดูวิดีโอโฆษณา 15 วิ, กด Tag เพื่อนให้มาดูโฆษณานี้ฅ
แมรี่ : ดูโฆษณาแล้ว Comment ว่าสนใจ, ส่งข้อความไปที่เพจว่าขอรายละเอียด, พร้อมแชร์โพสนี้ไปที่ Facebook ตัวเอง
ใคร Hot กว่ากัน.. ? คำตอบคือแมรี่นั้นเอง แล้ววันนี้คุณรู้หรือยังว่าใครคือแมรี่ของธุรกิจคุณ.. สิ่งที่คุณต้องทำคือหาให้เจอว่า Cold Warm Hot ในธุรกิจคุณเป็นใครบ้าง แล้ว Retargeting กลับไป สื่อสารให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า ฉะนั้นสื่อสารกับใคร ก็ควรเขียนเพื่อคนๆ นั้น เช่น คุณยิงโฆษณาส่วนลด แต่คุณยิงไปหากลุ่ม Cold มันจะไม่มีคนมาซื้อคุณ เพราะ Cold คือลูกค้าที่ยังไม่รู้จักสินค้าและบริการของคุณเลย คุณต้องทำให้ Cold รู้จักสินค้าและบริการของคุณก่อน
ทางรอด
- วางแผนการยิงโฆษณาให้ละเอียดมากขึ้น
- เปลี่ยน COLD เป็น WARM สะสม HOT
- คอนเทนต์ กลุ่มเป้าหมาย ต้องไปทิศทางเดียวกัน
ต้องรอด 4 – Conversational Commerce
คือการช้อปปิ้ง ผ่าน แชท ลูกค้าทักมาที่ Inbox กดสั่งซื้อเข้ามา แล้วเจ้าของธุรกิจก็กด Confirm ได้เลย มันกำลังพัฒนาให้มีการปิดการขายได้เลย ซึ่งมันจะทำให้เจ้าของธุรกิจปิดการขายได้ง่ายขึ้น และไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานมาตอบแชท ลดต้นทุนลงไปได้อีก อย่ามองข้าม Conversational Commerce เพราะเรื่องนี้มาแน่
ทางรอด
- อย่ามองข้ามขั้นตอนตอบแชท
- อย่าเป็นแอดมินที่ตอบคำถาม
- จงเป็นแอดมินที่ให้คำแนะนำ
ต้องรอด 5 – Live Commerce ช่วยลดต้นทุนโฆษณาได้
เป็นเทรนด์ใหม่ที่มาแรง และทำเงินได้สูงมากอย่าง Live Streaming แล้วมองกลับมาที่การ Live ขายของมาแรงมาก แต่อาจจะไม่ใช่กับทุกคนกับทุกธุรกิจ แต่มันเป็นทางออก เป็นอีกช่องทางหนึ่งในทางรอด สิ่งเริ่มแรกที่คุณจะต้องพัฒนาคือ Content ที่คุณจะ Live ต้องทำให้น่าสนใจ วันหนึ่งการ Live ของคุณจะง่ายขึ้นและมีผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้น เช่น บังฮาซัน ที่ก็เริ่มจากมีคนดูไม่ถึงสิบ แต่ก็พยายามพัฒนามาเรื่อยๆ จนมาถึงทุกวันนี้
ตัวอย่างเช่น ร้านขายเพชร เริ่ม Live โดยใช้ Content การประมูลเพชร เพชรเม็ดนี้มูลค่า 200,000 บาท เปิดประมูลที่ 10,000 บาท ใช้ผู้หญิงสวยเป็นคนนำประมูล ก็ทำให้การ Live นี้มียอดขาย ซึ่งการ Live นี้ก็เป็นอีกหนนึ่งทางออกที่ทำให้ผู้ประกอบการอยู่รอด
ทางรอด
- LIVE คือทางออกของคนที่ไม่อยากยิงโฆษณา
- ฝึก LIVE ด้วยตัวเองหรือคนอื่นก็ได้
- เริ่มต้นจากมือถือเครื่องเดียว
- สม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญ
ผู้ประกอบการจะไม่ใช่แค่ทำการตลาดแค่ในประเทศอีกต่อไป มันคือการทำการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ฉะนั้นหนทางรอดของผู้ประกอบการจะทำแค่อย่างเดียวไม่ได้ คุณจะพึ่งแค่แพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่งไม่ได้ คุณต้องพร้อมปรับตัวอยู่ตลาดเวลา ถ้าทางไหนที่คุณทำแล้วมันไม่รอด คุณต้องรีบปรับและเปลี่ยนมันทันที สร้างแบรนด์คุณให้แข็งแกร่ง เพิ่ม Value added บริการหลังการขาย พัฒนา Content ให้ดึงดูด เพื่อลดการพึ่งพาโฆษณาอย่างเดียว และรักษาลูกค้าเก่าให้ดี วางแผนการยิงโฆษณาให้ละเอียดมากขึ้น อย่ารอให้ธุรกิจคุณถึงขั้นวิกฤตแล้วค่อยทำต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้